Travel

หาวันลา….เดินหน้าท่องโลก

NekoNAY

NekoNAY

 

ไม่รู้ว่าตัวเองเริ่มเสพติดเดินทางท่องโลกตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง SMS ตัดบัตรเครดิตค่าตั๋วเครื่องบินรัวๆ เข้ามาเป็นประจำ

มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ที่ต้องตื่นเช้าไปยืนเบียดบนรถไฟฟ้า เข้างาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น จะมีเวลาชิลล์สักนิดก็คือตอนแวะสวนรถไฟวิ่งออกกำลังกายสัก 3 กิโล 5 กิโล แล้วก็กลับบ้านนอน และวงจรชีวิตก็วนแบบนี้อยู่ทุกวัน เจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ คนเดิมๆ ความเบื่อจึงค่อยๆเกาะกินที่ละเล็กทีละน้อย

วันลาพักร้อนครั้งละ 5 วัน รวมเสาร์อาทิตย์!!  น้อยนิดประหนึ่งหน้าหนาวในประเทศไทย ได้แต่บ่นกับตัวเองดังๆในใจ ทำไมมันน้อยจังวะ แต่ก็เอาเถอะยังดีกว่าไม่ได้หยุด  ว่าแล้วก็ “ลาค่ะ” วางแผนเที่ยว เคลียร์งานในมือ ฝากงานคนในทีมให้พร้อม ยื่นใบลา  แพคกระเป๋า  พร้อมลุยทันที

ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับครั้งก่อนที่อารมณ์ชั่ววูบแค่แว๊บเดียว ตั๋วเครื่องบินไปกลับ “กรุงเทพ-อินชอน” ก็ถูกส่งเข้ามาในอีเมล พร้อมๆกับเสียงตัดบัครเครดิตเช่นเดิม

 

NekoNAY

 

ทำไมเลือกไปเที่ยว “เกาหลี” ไม่กลัว ต.ม.เหรอ? หรือติ่งเกาหลี? ได้แต่ส่ายหัว!! อะไรคือติ่งเกาหลี  ซีรี่ย์นี่ก็แทบไม่ดู นักร้องเกาหลียิ่งไม่รู้จัก ส่วน ต.ม. นั้นบอกเลยว่าไม่กลัวค่ะ  ก็เรามาเที่ยวอ่ะ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะออกแนวลักลอบเข้าเมืองก็ตาม

ที่เลือกไปเกาหลีก็วันลาพักร้อนมีน้อย  จึงมันมาไกลได้เพียงเท่านี้ อีกอย่างแค่อยากเห็นแดนกิมจิเท่านั้นเอง

เราเลือกช่วงเวลาเที่ยวได้เหมาะมาก คือ “เดือนมีนาคม” เป็นช่วงปลายหนาว ทุกอย่างดูแห้งๆ ดอกไม้เริ่มจะผลิบาน แต่ยังมีความเหนียมอายอยู่ ไม่เปล่งประกายความสวยงามเช่นฤดูใบไม้ผลิ

ช่วงเดือนมีนาคม เป็นช่วงฤดูก้ำกึ่งระหว่าง winter กับ spring คือมันไม่สุดซักอย่าง ก็เลือกมาช่วงนี้เพราะตั๋วมันถูก และงบประมาณเราจำกัด

NekoNAY

 

สิ่งที่ต้องเตรียมในการไปเที่ยวทุกครั้งคือการหาข้อมูล ทั้งที่เที่ยวและที่พัก สำหรับที่เที่ยวไปครั้งแรกขอไปที่เป็นแลนด์มาร์คหลักๆ ที่คนนิยมก่อน เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ส่วนที่พักเน้นใกล้รถไฟใต้ดินเดินทางสะดวก ราคาถูกและดี ตัดสินใจเลือกได้จากรีวิวผู้ที่เคยเข้าพักมันเชื่อได้จริงๆ  เมื่อหาข้อมูลได้แล้วก็จดทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ลงในสมุด ทำเป็นไกด์บุ๊คส่วนตัว ทั้งแผนการเดินทางแต่ละวัน วิธีการเดินทาง รวมทั้งแผนที่ Print แปะในสมุดไปเลย เพราะจะดูง่ายกว่าในมือถือ ที่สำคัญ เอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน เอกสารจองห้องพัก จองตั๋วรถไฟ นอกจากเซฟลงมือถือแล้ว ก็ต้อง Print เอาไว้ด้วยเผื่อ ต.ม. เรียกดูด้วยนะจ๊ะ ไม่งั้นอาจโดนเรียกเข้าห้องเย็นก็เป็นได้

 

NekoNAY

 

แลนดิ้ง ณ กรุงโซล ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างง่ายดาย เดินหาเคาท์เตอร์แลกตั๋วรถไฟ KTX วนไป 2 รอบไม่เจอ มาจบที่ Tourist information อยากรู้อะไรก็ถามมันตรงนี้แหละ แผนที่ก็หยิบตรงนี้ แลกตั๋วรถไฟเสร็จ ก็ซื้อตั๋วรถบัสเข้าเมือง ที่เลือกนั่งบัสเข้าเมืองก็เพราะอยากดูวิว ระบบขนส่งสาธารณะที่นี่ถือว่าสะดวกมากมีให้เลือกทั้งรถไฟใต้ดิน และรถบัส ซึ่งผ่านจุดสำคัญหลายแห่งในเมือง

นั่งรถมาก็สังเกตว่าที่โซลมีสะพานข้ามแม่น้ำเยอะมาก ริมแม่น้ำเป็นสวนสาธารณะมีทางสำหรับจักรยาน ทางวิ่งออกกำลังกาย มีเต็นท์เล็กๆ บังลมหนาวสำหรับนั่งปิคนิก  ดูเพลินไปหน่อย ลงรถผิดป้ายไปเลยจ้า เดินแบกกระเป๋าย้อนกลับมา Hostel

 

NekoNAY

 

เก็บกระเป๋าเสร็จไป Seoul Tower แลนด์มาร์คอันดับหนึ่งของเกาหลี ระหว่างทางเดินมองลงไปด้านจะแสงไฟจากตัวเมือง ตัดกับภาพกิ่งไม้แห้ง ดูสวยไปอีกแบบ ขึ้นมาถึงจุดที่คนนิยมมาคล้องกุญแจคู่รัก ด้วยความเชื่อว่าหากคู่ใดได้มาคล้องกุญแจจะรักกันยืนยาว นี่อยากรู้เหมือนกันว่าเลิกกันไปกี่คู่ เดินดูไฟดูต้นไม้โต้ลมหนาวอยู่ซักพัก นั่งรถเมล์ลงมาที่ตลาดมยองดง

ตลาดมยองดง ที่เค้าว่าเป็นแหล่งสตรีทฟู๊ดของเกาหลี ก็จริงนั่นแหละ ของกินหลากหลาย ผู้คนก็มากมาย คนไทยเยอะเป็นเรื่องปกติ ร้านค้าบางร้านมีพนักงานเป็นคนไทยด้วยสื่อสารกันสะดวกดี ตลาดนี้คนที่มาเดินเน้นช็อปปิ้งซึ่งไม่ใช่ทางของเรา กินมื้อเย็นเสร็จกลับที่พักเตรียมร่างไว้เที่ยวต่อพรุ่งนี้ดีกว่า

NekoNAY

 

ตื่นแต่เช้าไป Bukchon Hanok Village หมู่บ้านที่ยังคงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของเกาหลี เอ่อ เราคงมาเช้าไป หมู่บ้านเงียบมากแทบไม่มีคน Tourist information ก็ยังไม่เปิด เดินวนๆ อยู่แถวนั้นรู้สึกโชคดีมากที่มาแต่เช้า คนน้อยเดินสะดวก เราชอบที่ที่ยังคงรักษาความเก่าแก่ดั้งเดิมของสถาปัตยกรรม และศิลปะเอาไว้ บ้านเรือนทรงแปลกตา เส้นสายของต้นไม้ในแบบที่ไม่เคยเห็น บรรยากาศดี อากาศดีเลยเดินเล่นที่นี่นานหน่อย สำรวจพื้นที่ไปเรื่อยจนเจอเข้ากับควันขโมงที่ลอยปลิวออกมาหน้าบ้านหลังนึง เรามั่นใจในทันทีว่า บ้านหลังนี้เป็นร้านอาหารแน่นอน จึงจัดอาหารพื้นเมืองไป 1 ชุด สบายใจ มีแรงเดินหลงต่อแล้ว

NekoNAY

เราเดินอ้อมมาถึงพระราชวัง  Gyeongbokgung palace ยิ่งใหญ่กว้างขวางอะไรอย่างนี้ ถ้าช่วงดอกพ็อตโกต หรือดอกซากุระบานที่นี่จะสวยมาก แต่ในวันนี้ต้นซากุระมีเพียงแค่กิ่งที่แห้งๆ นี่ไงมาฤดูก้ำกึ่งมันก็จะได้เห็นอะไรแบบนี้แหละ

ตามแผนที่วางไว้หลังจากนี้จะเดินไปที่คลอง Cheonggyecheon แต่แผนการมักเปลี่ยนได้เสมอตามอารมณ์และความเหมาะสม เราเลือกที่จะไม่ไปคลอง แต่ เปลี่ยนไป Ehwa University แทน มาที่นี่ถือว่าเป็นการนั่งพักหลังจากเดินเหนื่อยมาทั้งวัน นั่งมองไปรอบๆ ก็รู้สึกว่ามหาวิทยาลัยที่นี่ดีงามมาก ด้วยทำเลที่ขึ้นจากรถไฟใต้ดินเดินนิดเดียวก็ถึง ตึกก็สวย รอบมหาวิทยาลัยก็เป็นแหล่งชุมชนท่องเที่ยว มีทุกอย่างแทบไม่ต้องออกจากโซนนี้เลย

NekoNAY

ใกล้มืดแล้วเราไปดูดอกกุหลาบ LED ที่ DDP กันเถอะ มาถึงก็ตลึงกับดีไซน์ของอาคารที่ดูล้ำสมัยสมกับเป็น  Art Exhibition Hall ดีไซน์ที่นี่สวยจริงๆ เส้นโค้งตัดกับเส้นตรงได้อย่างลงตัว ในส่วนของดอกกุหลาบตอนยังไม่เปิดไฟก็ดูธรรมดา แต่พอมีแสงสว่างเท่านั้นแหละสวยเลย คงเหมือนกับผู้หญิงตอนไม่แต่งหน้ากับแต่งหน้าความสวยมันก็จะต่างกันหน่อยนึง

หมดไปอีกหนึ่งวันเดินตั้งแต่เช้ายันดึก ถึงแม้จะเตรียมความพร้อมให้ขาทั้งสองข้างมาอย่างดี แต่ก็หนีอาการปวดไม่ได้ นอนพักยกขาสูงพิงผนัง แล้วก็คิดว่าสองวันที่อยู่โซลเจออะไรน่าตื่นเต้นบ้าง

วันแรกนั่งรถเมล์เลยป้าย แต่ก็เดินย้อนมา  Hostel  ถูก วันที่สองออกเที่ยวเช้าเกินไปทุกอย่างยังไม่เปิด แต่กลายเป็นข้อดีที่ทำให้เราไม่ต้องไปเบียดเสียดกับคนเยอะแยะ และการเปลี่ยนแผนเที่ยวก็ทำให้เรามีเวลาได้นั่งซึมซับบรรยากาศได้มากขึ้น

ความผิดพลาดบางอย่างระหว่างการเดินทางอาจกลายเป็นสิ่งดี มันช่วยทำให้เรามีสติ ทำให้เรากล้าตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อ การเดินหลงทางหรือเดินอ้อมก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน บางทีทางที่เราหลงเดินมานั้นอาจจะสวยกว่าทางหลักก็เป็นได้

NekoNAY

การออกไปเที่ยวถือเป็นการฝึกตนเองให้สามารถเอาตัวรอดในสังคมอย่างหนึ่ง ฝึกให้เราช่างสังเกต ลดความกลัว  เพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง ถึงแม้ว่าสองวันนี้จะหลีกหนีการตื่นเช้าขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานได้ แต่งานก็ยังเป็นเงาตามติดมาพร้อมกับ line ที่เด้งขึ้นทั้งวัน สาบานว่านี่ลาพักร้อน นี่แหละมนุษย์เงินเดือน นวดขาพร้อมนอนพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อกับการออกนอกโซล หลงอีกแน่ๆ

มนุษย์เงินเดือนวัย 30 กลางๆ โสด และรักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ