วัดพระแก้ว เดิมชื่อวัดป่าญะ หรือวัดป่าเยียะ เนื่องจากภายในวัดเดิมมีไม้เยียะขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นไม้ไผ่พันธุ์พื้นเมืองชนิดหนึ่งคล้ายไม้ไผ่สีสุก ไม่มีหนาม เนื้อแข็งและเหนียว นิยมนำไปทำหน้าไม้หรือคันธนู
วัดแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนไตรรัตน์ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นวัดอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาตั้งแต่ปี 2521 เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดเชียงราย
แม้จะไม่ปรากฏประวัติการสร้าง แต่ก็มีเรื่องเล่าว่า ท้าวมหาพรหม เจ้าเมืองเชียงราย อนุชาของพญากือนา ได้อัญเชิญพระสีหลปฏิมา กับพระรตนปฏิมาจากกำแพงเพชรมายังเมืองเชียงราย เมื่อพญากือนาสวรรคต พญาแสนเมืองมา โอรสได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน ท้าวมหาพรหมไม่พอใจจึงยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
ภายหลังพญาแสนเมืองมานำกองทัพสู้รบจับท้าวมหาพรหมได้ แล้วอัญเชิญพระสีหลปฏิมามายังเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระรตนปฏิมา เนื่องจากท้าวมหาพรหมได้นำปูนขาวคลุกด้วยน้ำผึ้ง น้ำอ้อย และทรายละเอียดพอกไว้ ลงรักปิดทอง แล้วก่อพระเจดีย์ทำด้วยศิลาแลงที่วัดป่าเยียะ บรรจุพระรตนปฏิมาที่พอกแล้วไว้ในเรือนเจดีย์ จึงไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย
เมื่อปี 1977 เจดีย์วัดป่าเยียะถล่มลงมา จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง นำไปไว้ในวิหารของวัดป่าเยียะ ต่อมาปูนบริเวณพระกรรณเกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต จึงกระเทาะปูนออกทั้งองค์ จึงทราบว่าเป็นพระรตนปฏิมา ท้าวเจ็ด เจ้าเมืองเชียงรายได้กราบทูลให้พญาสามฝั่งแกนทรงทราบ โปรดให้อัญเชิญพระรตนปฏิมาจากวัดป่าเยียะ เมืองเชียงราย ไปยังเมืองเชียงใหม่โดยกระบวนช้าง
แต่เมื่อถึงแจ้สัก (ชยสัก) ช้างทรงพระรตนปฏิมาไม่ยอมไปทางเชียงใหม่ จึงเสี่ยงทายจับฉลากได้ชื่อเมืองนครลำปาง จึงอัญเชิญพระรตนปฏิมาไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จากเหตุการณ์ค้นพบพระรตนปฏิมา (พระแก้วมรกต) ทำให้วัดป่าเยียะได้รับการขนานนามใหม่ว่า วัดพระแก้ว
วัดพระแก้วคงมีสถานะเป็นวัดสำคัญมาตลอดทุกสมัย ช่วงสงครามขับไล่พม่าออกจากล้านนา ทำให้เมืองเชียงรายกลายเป็นเมืองร้างตั้งแต่ปี 2347 จนเมื่อฟื้นฟูเมืองเชียงราย ในปี 2386 จึงมีการบูรณะวัดสำคัญต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามจำนวนไพร่พล และสถานะทางสังคมยุคนั้น
ต่อมาในปี 2433 มีการสร้างวิหารวัดพระแก้วขึ้นใหม่ สันนิษฐานว่าสร้างบนฐานเดิมของวิหารในยุคล้านนา ซึ่งมีรูปแบบและสถาปัตยกรรมคล้ายกับวิหารของวัดงามเมือง (หลังเก่า) และวัดพระสิงห์ สันนิษฐานว่าช่างผู้ออกแบบ และก่อสร้างคือช่างคณะเดียวกัน
พระอุโบสถ เป็นพระวิหารทรงล้านนา มีลักษณะฐานเตี้ย เชิงหลังคาลาดต่ำ ซ้อนกัน 2 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี 2433
พระเจ้าล้านทอง เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ หน้าตักกว้าง 2 เมตร สูงจากฐานถึงพระรัศมี 2.80 เมตร รอบพระเศียร 1.60 เมตร นั่งขัดสมาธิราบ พระรัศมีเป็นดอกบัวตูมอยู่ในเปลวเพลิง ชายสังฆาฏิสั้นเหนือราวพระถัน เม็ดพระศกใหญ่ พระหนุ (คาง) เป็นปมใหญ่ และชัดมาก น้ำหนักประมาณ 1,200 กิโลกรัม นับเป็นพระพุทธรูปในสกุลช่างศิลปะปาละที่ใหญ่ และสวยงามที่สุดในประเทศไทย
พระเจ้าล้านทอง เดิมเป็นพระประธานของวัดล้านทอง อัญเชิญพระเจ้าล้านทองจากวัดล้านทอง (วัดแสนทอง) ไปประดิษฐานที่วัดงามเมือง ต่อมาเมื่อวัดงามเมืองร้าง ศรัทธาสาธุชนจึงได้ขึ้นไปทำหลังคาคลุมพระเจ้าหลวงและพระเจ้าล้านทอง
ปี 2504 พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ (วงศ์ ทานวํโส) ขณะเป็นพระครูธรรมวงศ์วิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย ได้ทำการย้ายพระเจ้าล้านทองจากวัดงามเมือง มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน จนถึงปัจจุบัน
พระสาวก 2 องค์ คือพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สำริด ปางสมาธิ ศิลปะล้านนา เดิมประดิษฐานที่วัดงามเมือง อัญเชิญมาพร้อมกับพระเจ้าล้านทอง ใต้ฐานทั้ง 2 มีจารึกระบุว่าสร้างเมื่อปี 2269 ผู้สร้างคือมังพละสแพก (ส่างกอละ) เจ้าเมืองเชียงราย โมยหวาน (เมียวหวุ่น) เมืองเชียงแสน และพระนางบุษบาสิริวัฒนเทพาราชกัญญาเจ้า มเหสีของเจ้าฟ้าลักที เจ้าฟ้าเชียงแสน สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เพื่ออุทิศให้กับเจ้าฟ้ายอดงำเมือง (พระยอดงำเมือง) เจ้าฟ้าเชียงแสน พระโอรสของพระนาง
หอพระหยกเป็นอาคาร ค.ส.ล. ทรงล้านนาโบราณประกอบด้วยไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล” หรือ “พระหยกเชียงราย” แปลว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นมงคลอนุสรณ์ 90 พรรษา” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บนผนังอาคาร แสดงกิจกรรม จากตำนานพระแก้วมรกต และภาพวาดการสร้าง และพิธีอัญเชิญพระหยกเชียงรายสู่พระอารามในวันที่ 19 ตุลาคม 2534
โฮงหลวงแสงแก้ว เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 ออกแบบโดย นภดล อิงคะวณิช สถาปนิกชาวเชียงราย เป็นอาคารทรงล้านนาประยุกต์ กว้าง 10 เมตร ยาว 23.25 เมตร สูงสองชั้น มีคุณแม่อมรา มุนิกานนท์ (แสงแก้ว) เป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้าง ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญ เช่นพระพุทธสิหิงค์ (จำลอง) รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่ทันสมัย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ศุกร์ (สุข) ละวัด ‘วัดศาลาครืน’ ขอพร ‘หลวงพ่อสี่เข่า’ หนึ่งเดียวในประเทศไทย
- ศุกร์ (สุข) ละวัด พากราบ’พระเกจิ 6 แผ่นดิน’ วัดป่าใต้พัฒนาราม
- ศุกร์ (สุข) ละวัด พาขอพร ‘หลวงพ่อทันใจ’ วัดไทยสามัคคี