Entertainment

ความรู้สึกคู่ชีวิต หลังสูญเสีย ‘ต้อย เศรษฐา’ หลานไม่เข้าใจ วิ่งตามคุณตาลงมาจากบ้าน

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย แม้ไม่ได้อยู่ในวินาทีสุดท้าย แต่เราทำดีที่สุดแล้ว เผยประโยคบอกลาคู่ชีวิต ‘พ่อไม่ต้องห่วง พวกเรารักพ่อมากที่สุด’ ด้านหลาน 3 ขวบยังไม่เข้าใจ วิ่งตามคุณตาลงมาจากบ้าน เชื่อพ่อยังอยู่กับเรา

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น. ณ ศาลา 1 ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ ได้จัดงานพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เศรษฐา ศิระฉายา หรือ อาต้อย ศิลปินแห่งชาติ  ที่ได้จากไปอย่างสงบ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เวลา 04.41 น.ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ด้วยโรคมะเร็งปอด สิริรวมอายุ 77 ปี บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยอย่างสุดซึ้ง

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย นาทีคู่ชีวิตบอกลา-หลาน 3 ขวบยังไม่เข้าใจ

โดยทาง อี๊ฟ พุทธิดา ลูกสาว อาต้อย เศรษฐา ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชน “มันมีช่วงเวลาหลายช่วงเวลาที่เราก็รู้แหละว่าสักวันหนึ่ง คือทุกคนมันจะมีแบบจุดที่เราจะต้องลากัน ถึงเราจะคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เราทำทุกอย่างแล้ว เราพร้อมแล้ว มันก็คงไม่พอ”

“คุณพ่อทานได้น้อยมาหลายเดือนแล้ว อีกอย่างคือคุณพ่อท่านไม่อยากใส่สายในการให้อาหารด้วย เพราะว่าท่านไม่ชอบ และครอบครัวเราก็ไม่อยากบังคับ เนื่องจากเราอยากให้คุณพ่อมีความสุขที่สุด และบางทีการบังคับจิตใจคนไข้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดที่ควรทำ คือสุดท้ายแล้ว เราก็คิดว่าเรายังโชคดีที่เราได้พยายามทำให้พ่อมีความสุข เราไม่ได้ฝืนใจท่านเยอะมาก แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ถือว่าเราไม่ต้องมานั่งเสียใจ”

“อาการของคุณพ่อที่ผ่านมา มันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะบางทีคุณพ่อก็เหนื่อยมากจริง ๆ และบางคนก็อาจจะเข้าใจว่าคุณพ่อเพิ่งป่วยไม่นาน แต่ว่าจริง ๆ คุณพ่อเป็นมา 3 ปีกว่าแล้ว ก็มีหนักบ้างเบาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด และอาจจะเป็นช่วงหลังมานี้ที่ท่านต้องทำการรักษาเพิ่มเติม เลยทำให้มีเรื่องของผลข้างเคียง”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

“แต่ครั้งล่าสุดที่ไปโรงพยาบาล ไม่ได้มีอาการอะไรเพิ่มเติมค่ะ เราก็ตั้งใจว่าอยากให้คุณพ่อไปแค่ 1-2 วัน เนื่องจากที่ผ่านมาท่านผอมลงมากและทานไม่ค่อยได้ อย่างน้อยถ้าไปโรงพยาบาล คุณหมอก็อาจจะให้น้ำเกลือหรือให้สารอาหาร ทำให้ท่านสดชื่นขึ้นและก็ค่อยกลับบ้าน นี่คือแผนที่เราวางไว้”

“ปรากฎว่าพอไปโรงบาลจริง ๆ เขาก็มีเรื่องของเสมหะที่เหนียวข้นมากและก็ทำให้คุณพ่อหายใจไม่ออก บวกกับคุณพ่อค่อนข้างที่จะนอนราบแล้วไม่สบายตัว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจทำการดูดเสมหะออก แต่ทีนี้การดูดมันก็คงทำให้คุณพ่อเจ็บและทำให้ท่านเหนื่อย ความดันก็ตก คุณหมอก็พยายามใช้ยาช่วยกระตุ้น ก็…มันก็ไม่น่าจะตกขนาดที่เขาจะไป แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพราะความบอบบางของเขาในภาวะที่เป็นอยู่มันมีมาก เอ่อ…เราอาจจะคิดว่าไม่น่า ไม่น่า แต่เราไม่รู้หรอกว่าข้างในเขามันคงจะเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าความดันตกและยาก็กระตุ้นไม่ขึ้นค่ะ”

“ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อในวินาทีสุดท้าย ช่วงที่ผ่านมามันเป็นช่วงที่ยากลำบากพอสมควร เพราะนอกจากคุณพ่อแล้ว คุณแม่ (อาเปี๊ยก อรัญญา) ก็ค่อนข้างที่จะเหนื่อยเหมือนกัน คือถ้าคุณพ่อไม่กิน คุณแม่ก็ไม่อยากกินด้วย เขาสองคนอยู่ด้วยกันมานาน ดูแลกันมานาน ซึ่งในวันที่เรารู้ว่าคุณพ่อมีคิวนัดกับคุณหมอ เราก็เลยคุยกันว่าถ้าหากคุณพ่อไปแค่ 1-2 วัน บวกกับมันเป็นช่วงที่อี๊ฟต้องเดินทางไปเสม็ดพอดี เราก็เลยคิดว่าพาคุณแม่ไปด้วยกันดีกว่าเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน คือคุณพ่อไปนอนโรงพยาบาล 2 วัน เราก็ไปคุยงานกลับมา เราก็ไปรับคุณพ่อกลับบ้าน นี่คือแผนที่เราคุยกันไว้”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

“ตอนเช้าเราก็อยู่ส่งพ่อขึ้นรถ ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเหมือนกับทุกวันตามปกติ แต่ด้วยความที่ช่วงนี้เวลาจะไปเฝ้าไข้มันต้องมีการตรวจ PCR ซึ่งพอตรวจแล้ว เราก็จะผลัดกันเฝ้าครั้งละ 5-7 วัน แต่ทีนี้พอมันเป็นแค่ 1-2 วัน เราเลยคิดว่าให้ผู้ช่วยเป็นคนไปเฝ้าแทนก่อน เพราะเราจะได้พาคุณแม่ไปพักผ่อนให้ท่านได้หายใจหายคอบ้าง”

“ตลอดระยะเวลาที่คุณพ่ออยู่โรงพยาบาลอี๊ฟจะคุยกับผู้ช่วยอยู่เรื่อย ๆ แต่พอถึงช่วงกลางคืนสักประมาณตี 2 นิด ๆ ผู้ช่วยก็โทรมาเรื่องความดัน และก็ถามเราว่าพรุ่งนี้สามารถกลับเลยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ แต่ปรากฎว่าประมาณตี 4 ผู้ช่วยเขาโทรมาใหม่ และเขาก็บอกว่าไม่น่าจะนาน อยากให้เราคุยเลย ตอนนั้นก็ยังงง ๆ ค่ะ เพราะไม่คิดว่ามันจะไปถึงจุดนั้น”

“แต่พอเราได้เห็นคุณพ่อแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อต้องกังวลทุกข์ใจ อี๊ฟเลยบอกกับคุณพ่อว่า ‘ขอให้พ่อได้พักนะ ไม่เป็นไร’ ในใจตอนนั้นก็คิดนะคะว่าควรบอกให้พ่อรอหรือเปล่า แต่อี๊ฟก็รู้สึกว่าถ้าอี๊ฟพูดแบบนั้น คุณพ่อก็คงไม่โอเค คุณแม่ก็พูดเหมือนกันค่ะว่า ‘พ่อไม่ต้องห่วง พวกเรารักพ่อมากที่สุด’ และจากนั้นคุณพ่อก็ค่อย ๆ หลับไป”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

“เสียใจที่เราไม่ได้อยู่กับท่านในช่วงเวลานั้น แต่ก็เชื่อว่าพ่อเข้าใจ คือเรื่องแบบนี้มันไม่มีใครรู้ ไม่มีใครอยากให้เกิด ตอนแรกก็รู้สึกหนักอึ้งนะคะ แต่ว่าคุณแม่เป็นคนที่เข้าใจมากที่สุด แม่พูดอย่างนี้เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนที่มีชีวิตที่ดี ดีมาก ๆ และสิ่งเดียวที่เราทำให้เขาได้ก็คือ ทำให้เขาหมดความกังวลใจ หมดห่วง เขาจะหลับแล้วก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกว่าเขาจะต้องโอ๋ใครหรือกังวลเรื่องอะไรเลย เขาควรจะรู้ว่าเราอยู่ได้ เราโอเค เราจะไปต่อได้ เราจะสานต่อชีวิตที่เขาให้ไว้ได้เป็นอย่างดี”

“จากนั้นพอเรากลับมาถึงโรงพยาบาลและได้เห็นพ่อ ตอนที่เห็นคุณพ่อท่านดูผ่องใส เขาไม่ได้ดูเหมือนคนป่วย และก็ดูสงบ ไม่ได้ดูเหมือนตอนที่เขาลำบาก ต่อสู้ ไม่เหมือนช่วงที่เราผ่านช่วงเวลาแย่ ๆ กันมา มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าพ่อคงไปในที่ดีมาก ๆ และเขาก็คงเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ เพราะเขาดูสงบ และก็ดูมีความสุขที่ได้หลับพักเสียที”

“และคนดูแลก็บอกว่าก่อนที่คุณพ่อจะไป พ่อเห็นแสงสีเขียว ซึ่งเราก็เชื่อว่าแสงนั้นคงเป็นแสงที่นำพาเขาไปในที่ที่ดี”

“คุณแม่เข้าใจได้ดีกว่าใคร ๆ และอี๊ฟคิดว่าสิ่งหนึ่งที่แม่คิดก็คือ เราทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเรารู้เราก็คงไม่ไป มันมีช่วงเวลาที่เราลังเลเหมือนกันว่าเราจะไปดีไหม แต่บอกตรง ๆ ว่าช่วงนั้นเราคงต้องใส่ใจแม่บ้าง เพราะว่าแม่ก็ค่อนข้างหลายอย่างเหมือนกัน”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

“ตอนนี้อี๊ฟไม่ได้คิดว่าคุณพ่อไปไหน อี๊ฟยังคิดว่าพ่อยังอยู่กับเรา พ่อยังรับแขก พ่อรู้ว่าคนที่มาร่วมงานคือทุกคนที่รักเขา พ่อยังกลับบ้าน เมื่อวานบอกให้เขากลับบ้านเขาก็กลับ เขาก็ยังอยู่ที่บ้านกับเรา และเขาก็อยู่ในที่ที่เขามีความสุข ที่ที่เขารู้ว่าทุกคนรักเขาแค่ไหน ทุกอย่างที่ทุกคนส่งมาให้ อี๊ฟเชื่อว่าคุณพ่อได้รับ”

“มีบุญเขายังไม่เข้าใจ เมื่อสักครู่นี้เขายังบอกอยู่เลยว่าคุณตาหลับ และเมื่อเช้าเขาก็ยังวิ่งตามคุณตาลงมาจากบ้าน อี๊ฟถึงรู้ว่าพ่อยังอยู่ที่บ้าน และอี๊ฟคิดว่าสิ่งที่เขาห่วงมาก ๆ ก็คือหลาน เขาคงเป็นห่วงว่าอี๊ฟจะเลี้ยงลูกได้โอเคไหม ซึ่งอี๊ฟก็บอกเขาแล้วว่า พ่อไม่ต้องห่วง อะไรที่พ่อหมายมั่นจะยกสมบัติให้มีบุญ ทุกอย่างก็จะเป็นของเขาค่ะ”

“อี๊ฟคิดว่าถ้าใครได้รับความรักจากพ่อแม่แบบที่อี๊ฟได้ ก็คงจะเข้มแข็งเหมือนกัน อี๊ฟไม่ได้เป็นลูกคนเดียวที่อยู่คนเดียว อี๊ฟเป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่พ่อและแม่สร้างไว้ให้ ดูจากคนที่มาช่วยงานเราในวันนี้ก็ได้ (ร้องไห้) อี๊ฟไม่เคยอยู่คนเดียว นั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วที่คุณพ่อคุณแม่มอบให้กับอี๊ฟ และอี๊ฟก็ภูมิใจกับมันค่ะ”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

“คำสอนของพ่อ มีเยอะเลยค่ะ พ่อสอนอี๊ฟจนวันสุดท้าย เยอะมาก ๆ ยกตัวอย่างนะคะ ข้อความที่พ่อเขียนแปะเอาไว้ ‘คนแพ้ต้องไม่ท้อ คนท้อต้องไม่ใช่คนแพ้’ อันนี้เป็นคำที่เขาเคยเขียน และเป็นคำที่อี๊ฟจำได้ดี นอกจากนี้ก็จะมีการสอนวิธีการใช้ชีวิต พ่อเป็นคนที่ง่าย ๆ สบาย ๆ ถ่อมตัว ไม่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนรักพ่อ และอี๊ฟก็เลียนแบบสิ่งนี้จากพ่อ อี๊ฟใช้ชีวิตง่าย ๆ อะไรก็ได้ พ่อสอนให้อี๊ฟรู้ว่าชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด คุณพ่อเริ่มต้นจากศูนย์ และได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด วันหนึ่งปลายทางของชีวิตมันก็ยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น นั่นแหละค่ะที่เป็นสิ่งที่พ่อให้ไว้ จนแม้แต่ตอนสุดท้ายเขาก็ยังสอนให้อี๊ฟรู้ว่าความกตัญญูคืออะไร”

“เมื่อวานนี้อี๊ฟได้รับข้อความเยอะมาก ได้รับโทรศัพท์เยอะมาก คือญาติใกล้ชิด ญาติห่าง ๆ คนรู้จัก แฟนคลับ คนไม่รู้จักกันเลย ทุกคนส่งข้อความมาให้กับคุณพ่อและครอบครัวเราทุกช่องทาง สิ่งหนึ่งที่อี๊ฟรู้ตั้งแต่ตอนที่พ่อยังมีชีวิตก็คือ พ่อเป็นคนที่ให้ความสุขกับคนดู ให้ความรักความเมตตากับเพื่อนร่วมงาน พี่น้องในวงการ เขาเป็นคนที่ให้ค่ะ วันนี้เขาก็เลยได้รับทุกอย่างเลย ขอบคุณนะคะ”

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

ครอบครัว เศรษฐา ศิระฉายา เปิดใจหลังสูญเสีย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo