Entertainment

‘มะตูม’ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด หิวแสง ลืมตัว เหยียดคน ใช้เงินวันเป็นล้าน

ดีเจมะตูม เตชินท์ เปิดใจ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด หิวแสง ลืมตัว เหยียดคน ใช้เงินวันเป็นล้าน เผยเหตุมุมมองเปลี่ยน อยากเป็นมะตูมคนเดิมที่โตขึ้นอีกสเต็ป

เรื่องราวที่ได้เรียนรู้จาก ‘ความผิดพลาด’ ของ ดีเจมะตูม-เตชินท์ พลอยเพชร หลังได้ทบทวน และตระหนักรู้ในตนเอง โดยล่าสุด (13 ต.ค.) เจ้าตัวได้มาเปิดใจในรายการ แจ็คขอคุย ทางช่องยูทูบ Jackfanchan ของหนุ่มอารมณ์ดี แจ็ค แฟนฉัน กับเทปที่มีชื่อว่า ‘ดีเจมะตูม’ หิวแสง! เปิดทุกประเด็นร้อน น้อมรับทุกกระแสวิจารณ์

ดีเจมะตูม เตชินท์ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

ดีเจมะตูม เตชินท์ เปิดใจ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด วันนี้อยากเป็นมะตูมคนเดิมที่โตขึ้นอีกสเต็ป

ถ้าย้อนกลับไป พลาดตรงไหน มะตูม มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?

“จริง ๆ พลาดเยอะนะ พลาดเยอะมาก ไม่เคยลืมกำพืดว่าตัวเองมาจากการเป็นดีเจใต้ดิน มีความใฝ่ฝันอยากเป็นดารา อยากเข้าวงการบันเทิง เพราะเติบโตมากับครอบครัวที่ทุกคนเก่งหมด พ่อเป็นนักร้อง พี่ก็ร้องเพลงเพราะ น้องเป็นนางแบบ อยากจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อหาเงินให้ได้มาก ๆ ซึ่งวงการบันเทิงตอบโจทย์นี้ได้ ใช้คำว่าหิวแสง กระหายในการที่จะเข้ามาเป็นซัมวันในที่นี้มาก ๆ”

เรื่องที่ถูกมองว่าเป็นคนน่าหมั่นไส้ ?

“จริง ๆ มองว่าจุดนี้เป็นเป็นความผิดพลาดจากตัวเอง ไม่เคยโทษคนอื่น เราเข้าวงการบันเทิงมาแบบไว คนอื่นเขาใช้เวลาหลายปี แต่มะตูมเพียงแค่ข้ามคืน แค่อัดคลิปด่าในโซเชียล แล้ววันรุ่งขึ้นมะตูมได้เล่นละครเลย พออะไรที่ไวมากๆอย่างนี้ เรายิ่งทำ ยิ่งสะใจ ไปไหนก็มีแต่คนพูดถึง เราเป็นที่ต้องการของคน ณ เวลานั้นก็เลยไม่ได้คิดอะไร ทำตัวเองก็ได้ให้คนพูดถึง มันก็เลยกลายเป็นความน่าหมั่นไส้ อย่างเช่น เมื่อก่อนเวลาพูดคุยหรือทักทายคนอื่น หลายครั้งสิ่งที่พูดออกไปกลายเป็นเหมือนดูถูก เหยียด หรือบูลลี่คนอื่นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเยอะมาก”

ทำไมต้องไปดูถูกเขา ?

“นั่นน่ะสิ ถามตัวเองเหมือนกัน ทำไมไปดูถูกคน ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ดีนะ และในความเป็นจริงเจตนาก็ไม่ได้ต้องการไปด้อยค่า หรือดูถูกใคร สมมติเจอ แจ็ค ตามผลงานแจ็คมาตั้งแต่ตูมยังไม่เข้าวงการ พอวันหนึ่งได้กินข้าว ก็คิดว่าจะพูดยังไงดีให้แจ็คจำเราได้ มันก็กลายเป็นถ้าชอบคือชอบเลย มองว่าตลกว่ะ เล่นได้ กับอันที่สองคือ ปากหมา ไม่เอา”

ดีเจมะตูม เตชินท์ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

แล้วพอมาเจอกับตัวเอง รู้สึกว่าคำไหนที่คนพูดถึงแล้วแรงที่สุด ?

“พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ เลี้ยงลูกยังไงให้โตมาเป็นแบบนี้ คำพวกนี้จะเจ็บมาก เพราะแม่สอนดีมาก แต่เป็นเพราะการกระทำของเราต่างหาก เขาเลยคิดแบบนั้น ต้นเหตุคือเรา ที่วางตัวแบบนี้ เลยกลายเป็นว่า ทุกวันนี้ใครเขียนด่าอะไรมา ถ้ามันหนักเกินไปก็แค่ลบ เขาเสียเวลาแค่ 2 นาทีเองในการพิมพ์ด่า เราจะเก็บ 2 นาทีของเขามาเป็นชั่วชีวิตเราไม่ได้นะ”

คำวิจารณ์ว่า วัวลืมตีน สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการที่มีเงินเยอะมากขึ้นใช่ไหม ?

“ใช่ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมามะตูมประสบความสำเร็จ เพราะเข้ามาอยู่ในวงการแค่ 5-6 ปี สามารถมีเงินเก็บ มีธุรกิจ วันที่เรามีเงินเยอะมาก ๆ ณ วันนั้นเราลืมไปหมดเลยว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ตูมไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ตูมเป็น มีคนเตือนเยอะมาก วงการบันเทิง ระวังนะ จะหลงแสง จะหลงชื่อเสียง เวลาตูมได้ยินแบบนี้ ตลก จะมาหลงได้ยังไง เราต้องรู้สิ ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน แต่พอเอาเข้าจริง วันที่เราเป็นที่ต้องการ วันที่คนล้อมรอบเราไปหมด เรามองไม่ออก เราแยกไม่ทันหรอก”

การไปคบกลุ่มคนรวย ไฮโซ มีส่วนไหม ?

“ใช่ครับ ตูมมองว่ามีส่วนมาก จริง ๆ การได้ไปใกล้ชิดกับกลุ่มซุปเปอร์สตาร์ นางเอกระดับแถวหน้า และกลุ่มไฮโซ เราก็ปฏิบัติตัวเหมือนตอนอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ แต่ในจุดนั้นคนจะจับตามองว่ามะตูมเป็นใคร ทำไมไปอยู่กับกลุ่มนี้ได้ ลืมตัว เป็นวัวลืมตีนทิ้งเพื่อนเก่า ๆ ทั้งที่ความจริงเรายังคบเพื่อนเก่า แค่ไม่เป็นข่าว”

ดีเจมะตูม เตชินท์ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

เรื่องการใช้จ่ายเงิน มะตูม เคยใช้เงินวันละเกิน 1 ล้านบาท ?

“วันที่มีเงิน เราเข้าไปช็อปแบรนด์ดัง ช็อปยุโรป ไปลองรองเท้าแค่คู่เดียวแล้วบอกเอาไซส์นี้ทั้งชั้น กลบปมด้อยตัวเอง มันคือการซื้อปมด้อยตัวเอง คิดว่าเราเป็นดีเจต๊อกต๋อยมา ไม่ได้ใส่ของแบรนด์เนม คนจะมองไม่ดีแน่ ๆ เราคิดแทนเขา จริง ๆ วงการบันเทิงเขาไม่ได้วัดที่มูลค่าสิ่งของนะ เขาวัดกันที่ความดี เราแยกแยะไม่ออก คิดว่าอยู่กับกลุ่มไฮโซ เป็นดาราต้องแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเราคิดผิด คิดไปเองทั้งหมด”

เหนื่อยมั้ยกับการที่ต้องแข่งกันรวย ?

“เหนื่อยมาก มากที่สุด และมองว่าไม่ใช่แค่อาชีพเรา ทุกอาชีพกับการที่เราต้องแข่ง เราต้องซื้อของมาประโคม เพื่อให้คนที่ไม่รู้ว่าเขาจะชอบเราหรือเปล่าชอบ”

ที่ผ่านใช้ชีวิตสบายมาตลอด ตอนนี้แทบไม่เหลือเลย ?

“ใช่ครับ ใช้คำว่าไม่เหลือเลย ขายทุกอย่างทิ้งไปเยอะมาก ๆ เพราะโควิดด้วย ทำให้เปลี่ยนทัศนคติ วันที่เรามีทุกอย่าง อยู่ในจุดที่สูงมาก ๆ ทุกคนรอบตัวจะเห็นสันดานเรา แต่วันหนึ่งที่เราตกลงมา เราจะเห็นสันดานทุกคน สุดท้ายแล้วเราก็คิดได้ว่าจะใส่นาฬิกาเรือนละล้านไปทำไม ถ้าเราติดโควิดแล้วตายขึ้นมา แม่เราจะอยู่สบายไปจนแก่เฒ่าหรือเปล่า”

ดีเจมะตูม เตชินท์ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด

ตอนติดโควิด-19 เคยถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ?

“วันที่ติดโควิด-19 เป็นวันที่เรารู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เหมือนเราได้อะไรมาง่าย ๆ วันหนึ่งก็หายไปเลย เราเสียงาน หยุดงานครึ่งปี แต่มีภาระเท่าเดิม รายจ่ายเท่าเดิม แต่รายรับไม่มี ตอนนั้นเครียดมาก ตอนที่อยู่ในห้องสีเหลี่ยมเล็ก ๆ ทีวีก็เปิดไม่ได้ เพราะทุกคนเล่นข่าวเราหมด อะไรที่เราเคยทำไว้กับใคร เจตนาดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่มันย้อนกลับมาหมด เรากินยานอนหลับประมาณเกือบ 10 เม็ด แต่ไม่หลับ รู้สึกไม่ไหวแล้ว ไม่ได้รู้สึกอยากตาย แค่รู้สึกไม่อยากรู้สึกกับอะไรอีกแล้ว”

สิ่งที่ทำให้ มะตูม เปลี่ยนไป ?

“ถามว่าแม่มีส่วนไหม มีส่วนประมาณครึ่งหนึ่ง แต่อีกส่วนเป็นเพราะเราคิดถึงตัวเองก่อนจะมาเป็น ดีเจมะตูม ตอนนั้นเรามีความสุขมาก เราหลับและตื่นเต็มอิ่ม สุขภาพดี ไม่ต้องแข่งกับใคร ตื่นมาทำหน้าที่ของตัวเองรายวัน มนุษย์ทุกคนมีทั้งดีและไม่ดี เราเคยเป็นคนที่ติดสินคนอื่นเพียงด้านเดียว เอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้ง และเอาไปวัดค่ากับความนิยมชมชอบของคนอื่น คิดว่าทำแบบนี้มันดี แต่พอลองย้อนนึกดูแล้ว ความสุขจริง ๆ เริ่มจากตัวเราเป็นคนกำหนด มุมมองเราเปลี่ยน อยากจะพัฒนา เป็นมะตูมคนเดิมที่โตขึ้นอีกสเต็ปให้คนเห็นว่ามนุษย์มันมีหลายด้านมาก เกลียดใครอย่าเกลียดให้สุด รักก็เหมือนกัน เพราะทถกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาเสมอ”

“สิ่งที่พูดวันนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าตัวเองไม่คิดได้อย่างที่พูดออกมา ยอมรับว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา ตัวเองก็ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงตัวเองในการพิจารณาตัวเอง เมื่อก่อนเวลาเจอดราม่าก็จะอธิบาย แต่วันนี้เจอดราม่าอะไรก็แค่ปิดมันก่อน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกให้คนมาชอบเรา มารักเรา ถ้าเป็นมะตูมคนก่อนคงกระวนกระวายที่มีคนเกลียด ตูมว่าความสุขมันคือการมอบสิ่งดี ๆ ให้กัน”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo