Entertainment

รู้จักตัวตน ‘มิว ศุภศิษฏ์’ จากเด็กเนิร์ด สู่หนุ่มฮอต งานเพลงดังไกล ติด Billboard Charts ถึง 5 เพลง

รู้จักตัวตน “มิว ศุภศิษฏ์” นักร้องนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ จาก “เด็กเนิร์ด” สู่ “หนุ่มฮอต” ที่ล่าสุด งานเพลงดังไกล ติด Billboard Charts ถึง 5 เพลง

เป็นศิลปิน-นักแสดง ที่มากความสามารถคนหนึ่งวงการบันเทิงไทยสำหรับหนุ่ม “มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ ”  ซึ่งวันนี้ จะมาเปิดเผยเส้นทางจากเด็กเนิร์ด สู่นักแสดงหนุ่มสุดปัง ที่เคยโดยปฎิเสธงานจนท้อ จนเกือบเลิกตามฝัน พร้อมเผยความรู้สึกที่งานเพลงดังไกล ติดชาร์ตบิลบอร์ด (Billboard Charts) ถึง 5 เพลงด้วยกัน ในรายการ “คุยแซ่บ SHOW” ทางช่อง One31 ที่มี “หนิง ปณิตา” และ เป๊กกี้ ศรีธัญญา” เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

มิว ศุภศิษฏ์

รู้จักตัวตน มิว ศุภศิษฏ์ จากเด็กเนิร์ด ขี้อาย ถือไมค์ แล้วมือสั่น สู่หนุ่มฮอต งานเพลงติด Billboard Charts ถึง 5 เพลง

รู้สึกอย่างไรที่เพลงใหม่ติด Billboard Charts ถึง 5 เพลง และได้ขึ้นนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) 

มิว ศุภศิษฏ์ : ก็ติด 5 เพลง มี Drowning, Missing You, Let Be Me, More And More, Time Machine รู้สึกดีใจมาก ๆ ตอนที่ผมรู้ข่าว คือทาง Bill Brod เขาทวิตเตอร์มาหาผมเอง ติดในหมวด Digital Song Sales Chart

ส่วนที่ได้ขึ้นนิตยสาร ก็ดีใจ และตื่นเต้น ตอนที่รู้ข่าวก็ตื่นเต้นมาก ๆ ก็อยากขอบคุณแฟน ๆ มากๆ  เพราะแฟน ๆ คอยช่วยเหลือเรา คอยอยู่ข้าง ๆ เราตลอด

คิดไหมว่าจะมาไกลขนาดนี้ 

มิว ศุภศิษฏ์ : ก็ไม่ได้คิดว่าจะติด Billboard หรือว่าจะมีฟอร์บส์เขียนถึง ก็เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะอัลบั้มนี้ เราต้องการแค่อยากทำเพลงที่มีคุณภาพ ให้กับแฟน ๆ เพราะเรารู้สึกว่าแฟน ๆ สนับสนุนเรามาตลอด เราก็อยากที่จะพัฒนาผลงานเรา ลองแนวเพลงใหม่ ๆ ลองดิสคัฟเวอร์กับเพลง กับทำนอง กับเนื้อร้อง แล้วเราก็ถ่ายทอดออกมาเป็น 10 เพลงนี้ ต้องบอกก่อนว่า ตั้งใจมากจริง ๆ ทั้งตัวผมเอง ทั้งคนที่มาร่วมงานด้วย

ในนิตยสารฟอร์บส์ เขียนชื่นชมเราอย่างไรบ้าง

มิว ศุภศิษฏ์ : ฟอร์บส์ ก็จะเขียนถึงเรื่องเพลงประมาณว่า เรามาใหม่ในเรื่องงานเพลง และเพิ่งมีอัลบั้มแรกด้วย แต่สามารถติดชาร์ตได้ถึง 5 เพลง ซึ่งสุดยอดมาก ๆ ก็ต้องขอบคุณทางฟอร์บส์ด้วย

ก่อนเข้าวงการเป็นเด็กเนิร์ดมาก่อน 

มิว ศุภศิษฏ์ : ใช่ครับ คือของผมจะอยู่ในกรอบมาก ๆ ก็จะตั้งใจเรียนมาก ๆ และก็ชอบเล่นเกม ติดเกม ชอบดูหนังปกติ และเป็นคนที่ขี้อายมาก ๆ

ถามว่ามีความอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็กไหม คือถ้าเป็นเรื่องร้องเพลง เราชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นจะปล่อยเพลงออกมาออกมาจริงจัง ส่วนเรื่องการเป็นนักแสดงก็ไม่เคยคิดเลย และที่ไม่เคยไปประกวดร้องเพลงที่ไหน เพราะเราเป็นคนขี้อายมาก ๆ ขี้อายถึงขั้นไม่กล้าจับไมค์ ถ้าถือไมค์มือจะสั่น

ถามว่าลึก ๆ อยากเป็นศิลปินไหม ผมคิดว่าตอนนั้นอยากเหมือนกัน แต่เราไม่กล้าพอที่จะทำตรงนี้ เพราะว่ากลัวมาก ๆ กลัวไปหมดเลย เพราะตอนเด็ก จะเป็นคนที่ชอบเอาความคาดหวังของคนอื่นมาใส่ตัวเอง เวลาไปหน้าชั้น ก็จะคิดว่าอาจารย์จะคิดอย่างไรกับเรานะ เพื่อน ๆ เราจะคิดอย่างไรกับเรานะ ก็เลยทำให้ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่รู้จะต้องวางมืออย่างไร ไม่รู้จะต้องพูดอย่างไรดี

มีเรียนร้องเพลง มีเรียนแสดงไหม

มิว ศุภศิษฏ์ : ถ้าตอนเด็ก ๆ เรายังไม่จริงจัง คือมันมีช่วงหนึ่ง ที่เรามีเวลาว่าง เราแค่อยากลองพัฒนาอะไรบางอย่างดู เราชอบร้องเพลง ก็เรียนร้องเพลงดูไหม พอเรียนไปเรื่อย ๆ มันทำให้เราได้ร้องให้คนอื่นฟังบ้าง ซึ่งทำให้เราคลายกังวลไปบ้าง

10 มิว ศุภศิษฏ์3

จุดเริ่มต้นที่เข้ามาวงการบันเทิงคืออะไร

มิว ศุภศิษฏ์ : เริ่มจากไปเรียนพิเศษ คือไปเรียนติวเข้ามหาวิทยาลัยที่สยาม แล้วไปเจอโมเดลลิ่ง ซึ่งเขาบอกเราว่า เราหน้าตาโอเคมากเลย มาแคสโฆษณาให้พี่หน่อยได้ไหม มีสัญญาให้เซ็นเลย คือ ผมก็ตกใจมาก แล้วก็โทรหาบอกหม่าม้าก่อน อยากให้ไปลองแคสโฆษณาดู แล้วก็อยากให้เซ็นสัญญาเลย

หม่าม้าบอกว่า เอาสัญญากลับมาดูก่อนไหม ถ้าอยากทำก็ลองทำไปก่อน สุดท้ายไม่ได้เซ็น ตอนไปแคสก็ได้เหมือนกัน เป็นซิมมือถือ แต่ไม่ได้ถ่าย

แต่กว่าจะได้เล่นโฆษณาแคสโฆษณามาเยอะมาก 

มิว ศุภศิษฏ์  : ใช่ ๆ ถามว่าแคสถึงร้อยไหมน่าจะถึง เพราะมีช่วงหนึ่งที่เราแคสงาน 7 วันเลย แล้วแต่ละวัน เราก็แคส 3-4 งาน วนไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ นอกจากแคสโฆษณาก็มีไปเดินแบบ ไปถ่ายนิตยสาร

ตอนเดินแบบผมยังคิดว่า น่าจะสบายกว่างานอื่น เพราะเราแค่เดินเฉย ๆ แต่พอเราไปดูรูปแล้ว ทำไมเราดูแย่จัง คือนักเดินแบบเก่ง ๆ เขาต้องมีอินเนอร์บางอย่าง เพื่อนำเสนอเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ ซึ่งตอนที่ผมเดินแรก ๆ ผมไม่รู้เรื่อง ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเราดูแย่จังเลย

อยากรู้ว่ามิวเรียนมาทางด้านไหน

มิว ศุภศิษฏ์  : เรียนวิศวะ เพราะตอน ม.6 เคยถามหม่าม้า กับปาป๊าว่า ขอเรียนนิเทศน์ได้ไหม แต่ท่านว่าไม่เอา เพราะอาม่าอยากให้เรียนวิศวะ กับหมอเท่านั้น ผมเลยเรียนวิศวะ เพราะถ้าเรียนหมอ มันต้องเรียนนาน ต้องเรียน 6 ปี แถมยังต้องไปเรียนสายเฉพาะอีก ถ้าเรียนหมอก็คงจะต้องยุ่งมาก ๆ คงไม่มีเวลามาแคสโฆษณา อะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้เรียนนานกว่าเรียนหมอ เรียนยันเอก เรียนมา 8-9 ปีแล้ว

ดูมิวผูกพันธ์กับครอบครัว

มิว ศุภศิษฏ์  : คือผมรู้สึกว่า เราเติบโตมาเพราะมีพวกท่านดูแลมาโดยตลอด ผมรู้สึกอบอุ่น และท่านเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ และท่านก็คอยให้กำลังใจเราตลอด เวลาที่เรามีคำถามอะไร หรือว่ามีอะไรที่ต้องตัดสินใจที่มันยากมาก ๆ ก็จะคอยปรึกษาท่าน

ทำไมเลือกคุยกับคนที่บ้านก่อนที่จะคุยกับเพื่อน

มิว ศุภศิษฏ์  : คือผมรู้สึกว่า เพื่อนเราจะชอบเออออตาม ไม่อย่างนั้นคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก (หัวเราะ) บางทีเราอยากจะได้มุมมองที่มองไกลกว่าเรา ก็เลยเลือกที่จะปรึกษาคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราบ้าง หรืออาจจะเป็นคนที่เด็กกว่าเราเยอะ ๆ

แคสงานไม่ได้ครอบครัวว่าอย่างไรบ้าง

มิว ศุภศิษฏ์  : ตอนนั้นทางบ้านก็จะบอกว่า ถ้าการเรียนเราโอเค อยากทำอะไรก็ทำได้เลย เราแคสงานมาแล้วไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือว่าเป็นบทเรียน สำหรับเราด้วย

แต่พอถึงเวลาจริง ๆ การแคสงานมันยากมาก ๆ เพราะเวลาไม่ได้ เขาไม่เคยบอกเราเลยว่า ไม่ได้เพราะอะไร เขาจะบอกแค่ว่าเราไม่ได้ มันทำให้เราต้องไปคอยรีเช็คตัวเองว่า ทำไมถึงไม่ได้ คือ ถ้าเขาแจ้งมา เราจะได้ไปพัฒนาปรับปรุงตัวเราได้ แต่ผมไม่เคยทราบเลย มันทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมเราไม่ได้นะ ทั้ง ๆ ที่เราก็ทำเต็มที่แล้ว เราก็เลยโทษแต่คนอื่น แต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย

ถามว่ามีท้อบ้างไหม ก็มีเหมือนกันนะ เพราะบางทีเราไปแคส 3-4 งานแต่ไม่ได้ เพราะบ้านก็อยู่นนทบุรี แต่เราต้องแคสงานไกลถึงทาวน์อินทาวน์ ซึ่งมันไกลมาก ๆ พอไม่ได้เยอะมาก ๆ เราก็เลยขอเบรกก่อนดีกว่า แล้วกลับมานั่งทบทวนตัวเองดู

เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การที่เราจะเป็นนักแสดงได้ เราต้องมีความสามารถเรื่องการแสดง ทำไมเราไม่มองตรงจุดนี้ เราแค่แคสไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยพัฒนาเรื่องการแสดงเลย ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเพราะเรานี่แหละที่ห่วย ก็เลยไปเรียนแคสติ้งก่อน แล้วค่อยกลับมาแคสใหม่

10 มิว ศุภศิษฏ์4

คนอื่นเบรก 2-3 อาทิตย์ แต่มิว เบรกที 3 ปี

มิว ศุภศิษฏ์  : ใช่ ก็ไปเรียนแอคติ้ง พอเรากลับมา ไปแคสโฆษณาก็ผ่าน และได้เล่นซีรีส์ด้วย

จบวิศวะทำไมไม่ทำงานด้านวิศวะ

มิว ศุภศิษฏ์  : คือมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ไปเรียนต่อ ช่วงนั้นจะว่างมาก ๆ และที่บ้านก็จะรู้สึกว่า ทำไมไม่ยอมทำงานต่อสักที ผมเลยรู้สึกว่า เรายังอยากทำงานตรงนี้อยู่ คือถ้าเราไปทำงานด้านวิศวะ เราต้องจริงจังแน่นอน และคงไม่ได้มาทำงานด้านนี้อีกแล้ว

ที่บ้านว่าอย่างไรในเมื่ออยากทำงานบันเทิง

มิว ศุภศิษฏ์  : อาม่า กับคุณแม่เขาใจดี ส่วนปาป๊าจะบอกว่า ถ้าอยากแคสงานต่อ ก็ไปเรียนปริญาโทละกัน ผมก็เลยโอเคว่า เรียนโทต่อให้ ก็เรียนโททางด้านวิศวะสายเดิม

ช่วงระหว่างเรียนโท ก็ไปเป็นอาจารย์พิเศษบ้าง แต่พอจบโทมา มันมีซีรีส์ กระแสก็เริ่มมา งานก็เยอะมาก แต่งานสอนเราก็ยังรับอยู่ ไปเป็นอาจารย์พิเศษบ้าง แต่ถ้าจะให้ไปเป็นเต็มเวลา คงไม่ได้ เพราะเวลาไม่ได้จริง ๆ

เวลาเด็กเรียกอาจารย์รู้สึกอย่างไร

มิว ศุภศิษฏ์  : ก็จั๊กกะจี้ เพราะน้องที่เราสอน ก็ห่างกับเราแค่ 3-4 ปี แต่มาเรียกเราว่าอาจารย์ เราก็รู้สึกโต ๆ เวลาสอน ผมจะทำสไลด์แล้วจะชอบพูด ให้น้องเขาจดตาม คือผมจะสอนเรื่องสถิติ ก็เลยทำให้มีโจทย์อะไรแบบนี้ คือ จะสอนเป็นพาร์ทแรก แล้วเว้นเป็นโจทย์ไว้ แล้วให้ทุกคนลองทำดู

แต่เวลาเรียนก็จะมีเด็กมาแซว ๆ ว่า อาจารย์จะมาสอน หรือมาเดินแบบ

ทำงานหลายอย่าง แล้วที่บ้านก็มีกิจการของตัวเอง อยากรู้ว่าที่บ้านอยากให้เราสืบทอดกิจการไหม

มิว ศุภศิษฏ์  : เอาจริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ยังไหว ท่านรู้สึกว่า เราอยากทำอะไร เราก็ไปก่อนได้เลย ส่วนตัวธุรกิจที่ท่านทำอยู่ ก็จะเป็นธุรกิจที่คอยซัพพอร์ทเรา เมื่อเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร

การเป็นผู้จัดละครนี่ใช่ความฝันของเราไหม

มิว ศุภศิษฏ์  : เป็นอาชีพหนึ่ง ที่ผมอยากทำมาก ๆ ตอนนี้ เป็นผู้จัดซีรีส์เรื่อง “The Ocean Eyes” เป็นซีรีส์ที่ร่วมทุนกับฝั่งอเมริกาด้วย ฝั่งจีนด้วย เป็นซีรีส์ที่มีโปรดักชัน ที่มีต่างประเทศมาเข้าร่วมด้วย ซึ่งขอบอกก่อนว่า เป็นเรื่องของสัตวแพทย์ทางทะเล เป็นเรื่องแรกของเอเชียเลย

ซีรีส์เรื่อง “The Ocean Eyes” เรื่องราวเป็นอย่างไร

มิว ศุภศิษฏ์  : เป็นเรื่องราวของทีมสัตวแพทย์ เป็นสัตวแพทย์ทางทะเลมีชื่อทีมว่า “The Ocean Eyes เป็นทีมท็อปของประเทศไทย แล้วทีนี้ ก็จะมีการรับบุคลากรใหม่เข้ามา ก็จะมีตัวละคร 4 ตัว ชื่อ นที เกรซ พริตตี้ เซ้นท์ ซึ่ง 4 ตัวละครนี้ เป็นสมาชิกใหม่ที่เข้ามาในทีม แต่ละคนก็จะมีพื้นเพมาจากคนละครอบครัว มีปมในชีวิตคนละอย่างกัน

พอมาอยู่ในทีมนี้ การทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง การที่แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัว จะมาอแดปต์ ในการทำงานร่วมกันได้อย่างไร เวลาเจอเคส เจอปัญหาต่าง ๆ ตัวละครแต่ละตัว จะไปในทิศทางไหน ก็อยากให้มาติดตามกัน

เห็นว่าช่วงที่ซีรีส์ออนแอร์มิวดังมาก ได้ถูกเชิญไปต่างประเทศ หลายประเทศมากด้วย

มิว ศุภศิษฏ์ : ใช่ครับ แต่ไม่ได้ไป เพราะว่าโควิดมาพอดี ตอนนั้นมีโอกาสไปฟิลิปปินส์บ้างแล้ว ตอนกลับก็ยังเสียว ๆ ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง เพราะตอนนั้น เริ่มล็อกดาวน์แล้ว ซึ่งแพลนไปต่างประเทศ มีประมาณ 6- 7 ประเทศได้ แล้วในบางประเทศ อย่าง จีน ก็จะต้องไปหลายมณฑล สุดท้ายไม่ได้ไป

การร้องเพลงอีกส่วนหนึ่งที่เราลงทุนถึงขั้นเปิดสตูดิโอเอง

มิว ศุภศิษฏ์ : คือหลังจากที่โควิดมา มันจะมีช่วงล็อกดาวน์แรก ๆ ที่เราได้มานั่งทบทวนตัวเองว่า มันยังมีอะไรที่ยังอยากทำอยู่แต่ยังไม่ได้ทำ ซึ่งผมคิดว่า ที่จะทำได้ในตอนนั้น คือการร้องเพลง อยากทำเพลง ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจะทำเพลง ก็ควรจะเปิดค่ายขึ้นมา เพื่อจะดูแลเราคนเดียว เพื่อที่จะเป็นศิลปิน

ผมเห็นจากเพื่อนหลาย ๆ คน เขาจะโดนค่ายเซ็ตอะไรบางอย่างมา เพราะมันเป็นแผนงานของเขา ซึ่งเราอยากทำเพลงที่เป็นตัวเราจริง ๆ ทั้งตัวเนื้อเพลง ตัวเอ็มวี สไตล์ต่าง ๆ คือ เราอยากทำเองหมดเลย อยากมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน คือ ถ้าเราอยู่ค่ายก็ต้องทำตามเขาส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเราสามารถทำเองได้ มันก็เป็นผลงานของเรา ก็เลยคิดว่าทำเองดีกว่า

10 มิว ศุภศิษฏ์5

เวลาเจออุปสรรเราสู้อย่างไร 

มิว ศุภศิษฏ์ : อย่างแรกเลยคือ เรามีคนมากมายคอยซัพพอร์ตเรา รักเรา เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ไม่อยากไปทำลายความรักของเขา ไม่อยากดูถูกความรัก ที่เขาให้เรามา งานทุกอย่างมันมีเหนื่อยอยู่ แต่ถ้าเราล้มเลิกไป แล้วคนที่คอยให้ความรักเรามา คอยซัพพอร์ตเรา เขาจะติดตามเราจากไหน แล้วเขาจะเติมพลังใจของเขาได้อย่างไร เพราะเราเป็นพลังใจของเขาจริง ๆ

เราก็เลยรู้สึกว่า เราล้มได้แต่ต้องลุกให้เร็วที่สุด เราเหนื่อยได้ แต่ต้องฟื้นให้เร็วที่สุด และต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาให้มาโดยตลอด

ตอนเจอมรสุมเปิดค่ายเพลง ได้ยินว่าไม่เสพโซเชียลเลย

มิว ศุภศิษฏ์ : ใช่ ตอนนั้นเรานอยด์มาก ๆ และห่วงแฟน ๆ ของเรามาก ๆ ช่วงนั้นไม่เสพโซเชียล ลบแอคทวิตเตอร์เลยช่วงนั้น จะได้ไม่ต้องเข้าไปดู

ได้บทเรียนอะไรกับมรสุม กับการวิพากษ์วิจารณ์ของคนบ้าง

มิว ศุภศิษฏ์ : อย่างแรกคือ เราห้ามคนวิจาร์ณไม่ได้ เพราะเราเลือกมาอยู่ในจุด ที่มีคนวิจารณ์อยู่แล้ว วงการบันเทิงเป็นงานศิลปะ งานศิลปะอยู่ที่เทสต์ ของแต่ละคนอยู่แล้ว เรื่องคำวิจารณ์มันมีอยู่แล้ว

ถ้าคำวิจารณ์มันเพื่อปรับปรุงพัฒนาเรา เราจะเก็บไว้พัฒนาตัวเอง แต่ถ้าอันไหนเป็นการสาดอารมณ์ใส่เรา เรารู้สึกว่า เราปล่อยไปดีกว่า เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย อันนี้คืออย่างแรก

อีกอย่างหนึ่งคือ ในทุก ๆ วงการ คนที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยู่รอด สุดท้าย ถ้าเราหยุดพัฒนาตัวเอง มันจะมีคนที่จะมาแซงเรา จะมีคนที่จะมาแทนเราอยู่เสมอ เราต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ เติมสกิลให้เราเก่งขึ้น

ในอดีต “มิว” เคยอกหักจริงเหรอ แล้วทำอย่างไร

มิว ศุภศิษฏ์ : ครับ คือผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงอกหัก อาจจะเป็นเพราะจีบใครไม่เป็นสักเท่าไหร่ ตอนอกหักก็มีเหมือนกัน ที่เปิดเพลงเศร้า มีคารีเนตแล้วก็เป่า สาว ๆ ที่บอกเลิก ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเข้ากันไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้แหละว่า เราเข้ากันไม่ได้จริง ๆ เพราะบางทีเราอยากได้อย่างหนึ่ง เขาอยากได้อย่างหนึ่ง สุดท้าย ก็ไม่มีใครลดหย่อนเข้าหากัน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

ปัจจุบันสถานะหัวใจเป็นอย่างไร

มิว ศุภศิษฏ์ : ปัจจุบันก็โสด โสดมาหลายปีอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่งานหนักมาก ๆ เราก็จะจริงจังกับงาน แล้วคนที่เราคุยอยู่ เขาเป็นรองเรื่องงาน เขาคงจะไม่ค่อยแฮปปี้ ผมก็เลยเกรงใจเขา แล้วก็รู้สึกว่าเราไม่มีเวลาให้เขา ก็เลยยังไม่พร้อม

สเปกสาวเป็นอย่างไร

มิว ศุภศิษฏ์ : ตอนเด็ก ๆ ก็คิดว่าตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ น่าจะเข้ากับเราได้ แต่ปัจจุบันเราเปิดกว้างขึ้นมาก ๆ คือถ้าเป็นใครที่พร้อมจะเติบโตไปกับเรา เข้าใจเรา ถ้ามีปัญหาอะไรแล้วมานั่งทำความเข้าใจกัน ก็โอเคแล้ว

10 มิว ศุภศิษฏ์2

สถานะโสด แต่เพลงใหม่ แต่งให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิต

มิว ศุภศิษฏ์ : เพลงนี้แต่งให้อาม่า ตอนที่เริ่มแต่งเพลงนี้ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวทะเล ได้ไปดำน้ำ แล้วคิดว่า ถ้าเราได้แต่งเพลง อยากแต่งเพลงที่เกี่ยวกับการจมลงไปจังเลย เพราะว่าเราชอบความรู้สึกที่ได้ดำลงไปในน้ำ

แล้วก็นึกว่าถ้าเล่าเรื่องการจม เราจะเล่าเรื่องอย่างไร ให้มีดูแล้วอบอุ่น ต้องทำอย่างไรดี ก็เลยนึกว่า ถ้ามันเป็นการจมไปในความทรงจำล่ะ ความทรงจำดี ๆ ของใครคนหนึ่ง ที่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว มันทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ เรารู้สึกถึงอาม่าก่อนเป็นคนแรก เพราะอาม่าเสียไปได้ 5 ปีแล้ว แต่เวลาที่เราเหนื่อย เวลาที่เราเศร้า เวลาที่เราท้อ เราก็จะนึกถึงภาพตอนที่เขาอยู่ด้วย

แค่โมเมนท์ง่าย ๆ ในเอ็มวี แค่เขาทำข้าวผัดให้เรา นึกถึงตอนที่เขาทำโกโก้ให้เรากินตอนเช้า ตอนที่เขาคอยโอ๋เราเวลาที่เราเสียใจ ก็มีความสุขแล้ว

รู้สึกอย่างไรกับกระแสตอบรับ

“มิว” ศุภศิษฏ์ : ดีใจมาก ๆ เสียใจอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ทำตรงนี้ตอนที่เขายังอยู่ และเหตุผลหนึ่ง ที่ผมยังโกออนในเส้นทางนี้อยู่ เพราะตอนที่เขาเสีย ผมรู้สึกว่า เรายังไม่มีผลงานจริง ๆ จังให้เขาดูเลย

แม้ตอนนี้ผมจะไม่รู้ว่า เขาไปอยู่ไหนแล้ว เพราะเขาเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่รูปแบบไหน เขาเกิดใหม่หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเรามีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ จนไปถึงเขาได้ มันก็คงจะดีมาก ๆ

มิวอยากบอกอะไรกับอาม่าบ้าง

มิว ศุภศิษฏ์ : อยากจะบอกว่า ขอบคุณอาม่ามาก ๆ ที่ทำให้ปาป๊าเกิดมา แล้วปาป๊าทำให้ผมเกิดมา และขอบคุณที่คอยดูแลมาตลอด ขอบคุณที่ให้ความอบอุ่น ขอบคุณที่ทำให้ผมแต่งเพลง เพลงแรกในชีวิตได้ แล้วเพลงเพลงนี้ มันก็ติดบิลบอร์ดด้วย ขอบคุณอาม่ามาก ๆ เลยครับ

ฝากผลงานหน่อย

มิว ศุภศิษฏ์ : ถ้าเป็นเพลงก็สามารถติดตามได้ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนมิวสิควิดีโอ สามารถติดตามได้ทางยูทูบแชนแนล และสามารถติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก ทาง อินสตาแกรม และทางทวิตเตอร์ด้วยครับ

ติดตามรับชมคำสัมภาษณ์ย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo