Entertainment

เคลียร์แล้ว! ‘ปิยะเวท’ แจงเคส ‘ณวัฒน์’ เหตุสื่อสารคลาดเคลื่อน ออกจาก รพ. กลับบ้านแล้ว

ผู้บริหารโรงพยาบาลปิยะเวท ชี้แจงกรณี “ณวัฒน์” เข้าใจกันดีแล้ว เจ้าตัวขอกลับไปรักษาต่อที่บ้าน มีทีมแพทย์ติดตามเทเลเมดิซีน ส่วนกรณี นพ.วิชัย ที่ถูกพาดพิง จะใช้สิทธิทางกฎหมายหรือไม่ อยู่ที่สิทธิส่วนบุคคล ย้ำโรงพยาบาลไม่ได้เลือกปฏิบัติ ทำกับผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นมาอยู่ในกลุ่มสีเขียวทุกคน เพราะมีผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองรอเตียงทุกวัน 

จากกรณี นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ซึ่งอยู่ระหว่างการรักษาพยาบาลอาการโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ใจความสำคัญระบุว่า แพทย์ให้ย้ายออกจากโรงพยาบาล ไปรักษาตัวที่บ้าน ทั้งที่ตนเองยังไม่หาย ขณะที่ล่าสุดในสังคมออนไลน์มีการแชร์คลิปเสียงคล้ายเสียงนายณวัฒน์ และผู้บริหารโรงพยาบาลเกี่ยวกับเมื่ออาการดีขึ้น ขอให้ออกจากโรงพยาบาล ไปพักฟื้นที่บ้านตามระบบ จะมีแพทย์ติดตามอาการ เนื่องจากเมื่ออาการดีขึ้น ขอให้เตียงผู้ป่วยวิกฤติรายอื่นต่อไปนั้น

ณวัฒน์

วันนี้ (23 ก.ค.) นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลปิยะเวท จำกัด (มหาชน) ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า นายณวัฒน์ เข้ามาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลปิยะเวท ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 วันที่ผ่านมา และมีบางช่วง ที่อาการเจ็บป่วยรุนแรง ทางคณะแพทย์ พยาบาล ได้ช่วยดูแลรักษาจนอาการดีขึ้นตามลำดับ

ด้วยเหตุผลภาวะโรคระบาดที่รุนแรงขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้เตียงให้แก่ผู้ป่วยรายอื่น ๆ เพราะขณะนี้มีความขาดแคลน และยิ่งระยะหลังผู้ป่วยอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ มีผู้ตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ทำให้ทุกโรงพยาบาล ประสบภาวะเดียวกัน

ทางฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล จึงขอความร่วมมือกับผู้ป่วยทุกท่านที่อาการดีขึ้น และมีความพร้อมในการลงมาพักในฮอสพิเทลของโรงพยาบาลปิยะเวท ที่มีถึง 2,500 เตียง ซึ่งเป็นโรงแรมต่าง ๆ ที่โรงพยาบาลร่วมมือ หรือ กลับไปพักที่บ้าน ซึ่งมีโครงการร่วมกับ สปสช. ในการทำ Home Isolation และ Community Isolation

แต่จากกรณีที่เป็นกระแสข่าว อาจเป็นเพราะการสื่อสาร ทำให้เกิดกระแสในโซเชียลฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้มีการพูดคุยกัน ระหว่างรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งตั้งแต่เมื่อวานทางคุณณวัตร ก็ยังพักรักษาปกติ

ณวัฒน์ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว

“แต่เมื่อคืนนี้เวลาประมาณ 22.00 น. ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณณวัตร โดยจะขออนุญาตไปพักที่บ้าน ซึ่งเป็นความสมัครใจในการขอกลับบ้าน ผมก็อนุญาต เนื่องจากได้ดูประวัติการรักษาแล้ว สามารถนำกลับรักษาพักฟื้นที่บ้านได้ และเราได้มอบหมายให้แพทย์ที่ดูประจำ ติดตามอาการด้วยการใช้เทเลเมดิซีน”

ณวัฒน์

“เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่มีประเด็นอะไร เพราะคุณณวัตร ได้ขออนุญาตกลับบ้าน และได้เดินทางกลับเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ (23 ก.ค.) เป็นการจบที่เข้าใจกันดี ส่วนทางด้านผู้บริหาร คือ คุณหมอวิชัย ทวีปวรเดช ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ความจริงแพทย์ทุกคน ทุกที่ เหนื่อยกับโควิดเป็นปี และเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่สบายใจ จึงขอพักร้อนไปสักระยะหนึ่ง เมื่อครบเวลาจะขอกลับมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม”

“ตอนที่โทรคุยกับผม ประมาณสี่ทุ่ม ก็ไม่ได้กำหนดเวลาจะออกเมื่อไหร่ คงสะดวกเมื่อช่วงเช้า และไม่เรียกว่า หนี เพราะได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องคลิปเสียงนั้น ผมไม่ทราบว่า ใครปล่อย เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากคลิปเสียงเป็นเรื่องส่วนบุคคล

เมื่อถามว่า นายณวัฒน์ อยู่ในเกณฑ์ผู้ป่วยอาการใด นพ.วิทิต กล่าวว่า เตียงที่นายณวัฒน์อยู่ อยู่ในเตียงสีเหลือง ซึ่งเมื่อดีขึ้น มีอาการจัดอยู่ในกลุ่มสีเขียว จึงให้กลับบ้าน

โดยปกติกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง จะมีคนไข้รอเตียงเฉลี่ยวันละ 20 คนต่อวัน การที่คนไข้ออกช้าหนึ่งวัน ก็หมายถึงว่า ต้องมีคนรอเตรียมเพิ่มขึ้น แต่ตรงนี้เป็นธรรมดาของคนไข้ส่วนใหญ่ ที่ไม่ค่อยมีใครอยากกลับบ้าน จนกว่าตัวเองจะมั่นใจว่าหายดีสนิท แต่อันนี้แพทย์ลงความเห็นแล้วว่าหายดีแล้ว พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ถึงให้กลับบ้าน

ส่วนเรื่องที่ว่า ทางโรงพยาบาลจะมีการใช้สิทธิทางกฎหมายอะไรหรือไม่ ในการถูกพาดพิงทำให้โรงพยาบาลเสียหาย  นพ.วิทิต กล่าวว่า ขณะนี้ พยายามหาทางให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี คนไข้ได้กลับบ้าน และโรงพยาบาล ได้มอบหมายแพทย์ติดตามอาการด้วยความห่วงใย

ณวัฒน์

ไม่ได้ไล่ออก นพ.วิชัย

ส่วนกรณีความขัดแย้งนั้น ในส่วนของ นพ.วิชัย ที่ถูกพาดพิง ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของนพ.วิชัยว่า จะตัดสินใจดำเนินการอะไรหรือไม่ และขอชี้แจงว่า ไม่ได้ไล่ออก เวลามีประเด็นความขัดแย้ง เมื่อเกิดความไม่สบายใจ ก็จะให้พักผ่อน เพื่อให้สบายใจก่อน

จริง ๆ ทางโรงพยาบาล ได้สอบหาข้อเท็จจริงภายในอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ (22 ก.ค.) ทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ก็ได้มีการสอบถามเรื่องนี้เข้ามาเช่นกันว่า โรงพยาบาลได้ทำการอะไรที่ละเมิดคนไข้หรือไม่

“ผมได้ฟังที่คุณหมอพูด ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงข่มขู่ อันนี้ความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่าก็เป็นการทำตามหน้าที่ของแพทย์ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ก็เป็นบทเรียนสำหรับพวกผม ในเรื่องประเด็นการสื่อสารเรื่องเหล่านี้ ต้องใช้เวลากับคนไข้มากขึ้น ต้องให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น” นพ.วิทิต กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo