Entertainment

คู่แฝดฮีโร่ ‘บิณฑ์-เอกพันธ์’ ออกรายการคู่ครั้งแรกในรอบ 10 ปี

เป็นเวลาสามสิบกว่าปีมาแล้ว ที่คู่พี่น้องฝาแฝดนักแสดงรุ่นใหญ่คู่นี้ ท็อป-บิณฑ์ และ ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับประชาชนคนไทยมามากต่อมาก ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการในปี 2527 ทั้งสองคนได้ฝากผลงานไว้มากมาย ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราทุก ๆ คนจะรู้จักเขาทั้งสองในด้านของ “ฮีโร่ผู้ช่วยชีวิต” ที่พึ่งของคนทุกข์ยาก จิตอาสาที่อุทิศทั้งตัว และ หัวใจให้กับเพื่อนมนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่จนผู้ได้รับความช่วยเหลือทุกคนต่างยกย่องให้เขาเปรียบเสมือน “เทวดาเดินดิน” เป็นแฝดสวรรค์ที่เหมือนกันทั้งรูปร่างหน้าตาและหัวใจทำให้โลกใบนี้มีสมดุล ล่าสุด ไทด์ และ ท็อป คู่แฝดฮีโร่ช่วยสังคม ขอจับมือมาคืนจอคู่กันออกรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมเผยความลับสุดยอด ที่ไม่มีใครเคยรู้

batch 3 2

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : ไม่ได้ออกรายการคู่กันมาแบบนี้ประมาณ 10 ปีได้แล้วครับ

ที่ไม่ได้มีเวลาออกรายการ หรือ เห็นทางหน้าจอเพราะทั้งคู่ไม่มีเวลาเพราะทั้งคู่เอาเวลาทั้งหมดทุ่มช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ?

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : สิ่งที่เราทำเพราะเขามั่นใจ เชื่อใจเรา เราเลยทุ่มเทให้เขาเต็มที่ นี่คือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น โดยน้ำใจคนไทยที่มหาศาลมาก

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : เขาเชื่อมั่นในตัวเรา ต้องขอบคุณชาวไทยทุกท่านมากๆครับ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ผมเลยรู้สึกว่าเราจะทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่ได้ สิ่งที่เราได้มาทั้งหมดคือสิ่งที่เขารักและไว้ใจ พร้อมทั้งศรัทธาในตัวเราเพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ในกรณี หรือครั้งต่อไปหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำไปแล้วคนอื่นไม่เชื่อใจ ซึ่งมันมีอยู่แล้ว 1 คน ที่เขาไม่เชื่อใจเรา เขาก็ไปเข้าโรงพักว่าให้ตรวจสอบเราสิใช้เงินยังไง ผมก็บอกเขาเลยว่าตรวจสอบได้เลยเชิญเลยครับ ผมให้ตรสจสอบตอนนั้นเลย ว่าเงินสี่ร้อยกว่าล้านเพื่ออะไร ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลย แต่บัญชีได้ปิดไปแล้ว ที่ยังใช้ไม่หมดผมต้องอธิบายอย่างนี้ว่า เงินที่ยังเหลือร้อยกว่าล้าน ผมคิดว่าต้องหาทางออกซึ่งสิ่งหนึ่งที่พี่น้องชาวไทยตั้งใจให้พี่น้องจังหวัด อุบลราชธานี เพราะฉะนั้นเงินเหลือเกือบร้อยล้านต้องมอบให้กับพี่น้องชาวอุบลราชธานีทั้งหมด เราก็เลยตรวจสอบว่าจังหวัด อุบลฯมีกี่อำเภอ และ อำเภอมีกี่โรงพยาบาล สั่งซื้อรถพยาบาล 18 คัน ประมาณ 2 ล้านบาทเกือบ 5 แสน 18 คัน เครื่องอุปกรณ์การแพทย์ เรืออีกถ้าเซ็นเอกสารจ่ายเงินเรียบร้อยเงินจำนวนที่เหลือคงจะใช้หมดตามที่ทุกคนได้ตั้งใจที่จะช่วยพี่น้องอุบล

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : แม้แต่คุณโจอี้ บอย เขาไปเล่นคอนเสิร์ตครับ ทั่วประเทศทุกจังหวัดเลยเป็นฟรีคอนเสิร์ต แต่เปิดหมวกให้จะบริจาคเท่าไหร่ก็ตามกำลัง เพื่อช่วยเหลือ พี่บิณฑ์ พี่เอกพัน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วมอุบลฯ ได้มาสามล้านหกแสน เขาเอามาให้ผม ผมก็บอกผมปิดบัญชีไปแล้วนะ เขาก็บอกว่าให้พี่พี่จะเอาไปใช้อะไรตามที่พี่เห็นสมควรเลย ผมก็คิดว่ายังเหลือโรงเรียนยังไม่ได้ช่วย ก็ไปดูโรงเรียนไหนที่ไม่มีรถรับส่งนักเรียน ผมก็เอาเงินทั้งหมดของโจอี้ ซื้อรถ 6 คัน ให้ทั้งหมด 6 โรงเรียน แถมโรงเรียนยังได้เงินสดอีกโรงเรียนล่ะ 50,000 บาทเป็นค่าน้ำมันด้วย

batch 1 2

เป็นน้ำใจ น้ำแรง ที่ทำให้เพื่อชางไทยด้วยความตั้งใจจริงเลย แต่ถึงจะทำดีขนาดนี้ พี่ท็อป ก็ยังโดน พี่ไทด เม้าท์ ว่าเป็นผู้ชายสายเผือก

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : สมมติว่าขับรถไปด้วยกัน ถ้าเห็นคนเดือดร้อน ใครทะเลาะกัน หรือใครที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ไม่ถูกต้อง เขาจะเข้าไปยุ่ง ไปช่วยเหลือเลย

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์
 : มันเป็นนิสัยที่เรารู้สึกว่า คนที่อ่อนแอกว่าถูกรังแก หรือ ผู้ชายทำผู้หญิง หรือกรณีมีการรุมกันเรารู้สึก ถ้าต่อหน้าเราคือ ถ้าเราห้ามแล้วไม่หยุด ห้ามแล้วไม่ฟัง ถ้าฝ่ายไหนดูแล้วจะไม่ไหว ผมจะช่วยฝ่ายนั้น คนที่ถูกรังแกผมจะช่วย มีเหตุการณ์ที่ราชดำเนิน มีรถสองคันที่คนสองคนกำลังเถียงกับคนคนเดียวอยู่ ผมก็ลงไป เขาก็ทะเลาะมาปาดหน้าโน้นนี่ ตอนนั้นเขายังไม่ได้มองหน้าผม ว่าผมเป็นใคร ส่วนสองคนนั้นก็เริ่มก่อนเลยเปิดศึกถีบคนที่มาคนเดียว ผมก็เข้าไปห้าม จะดันออกแล้วเขาก็ไม่ฟัง แล้วเขากำลังจะต่อยคนนั้นที่ล้มลงไปแล้วเราก็ดูแล้วว่าไม่ได้ล่ะ เราก็ใส่เลยแล้วเขาก็มามองหน้าเรา อ้าว !!! บิณฑ์ เราก็บอกว่าก็ใช่ ก็บอกแล้ว แล้วก็แยกกันทุกอย่างก็จบ

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : สิ่งที่แบบว่าถ้าเขาเห็นคนแก่ขายของแบกของมาหนักๆแล้วไม่มีใครซื้อ เขาขับรถเลยไปแล้วนะ แล้วจอดแล้วถอยกลับมาเหมาหมดเลย

batch 2 2

คือทั้ง พี่บิณฑ์ พี่เอกพัน เป็นฮีโร่ตัวจริง และอยู่ในใจของทุกคน ใครจะไปรู้ว่าช่วงโควิดที่ผ่านมา ถ้าใครเป็นเพื่อนบ้านสองคนนี้ จะตกใจหน่อยเพราะเวลาที่ทั้งคู่กลับบ้านก่อนเข้าบ้านจะแก้ผ้าเข้าบ้าน เพราะกลัวว่าโควิดจะเข้าบ้านไป เลยถอดเสื้อผ้าไว้ที่หน้าบ้าน

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่หมดนะครับ ยังเหลือชุดชั้นในไว้ คือ ผมต้องฉีดตัวทำความสะอาดก่อนเข้าบ้านเพราะคุณแม่อยู่ที่บ้าน ทุกคนอยู่บ้านหมด เพราะเราก็กลัวถ้าเราติดไปสักคนคนในบ้านก็จะมาติดหมดเพราะเรา เพราะตอนนั้นคุณแม่ของเราก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ก็ต้องทำครับ ถอดหมดเลย ทุกคนก็ต้องทำหมดถ้าใครบจะเข้าบ้าน เพราะเราเดินวันๆหนึ่งตั้งกี่ชั่วโมง 7-8 ชั่วโมง อยู่ในชุมชนเราเริ่มทำตั้งแต่โควิดเริ่มเลยครับ แต่เราก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาปกป้องเราผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ไม่มีใครไม่สบายหรือเป็นอะไรเลยทั้งเราทั้งทีมงาน 50 กว่าคน ทำให้เรารู้สึกว่าการทำดีทำให้สิ่งที่ดีๆปกป้องเราได้

ต้องออกไปดูแลทุกคนเราเลยต้องออกกำลังกายเยอะ เห็นว่าช่วงนี้ พี่ท็อป ดูแลตัวเองเยอะมากฟิตมาก

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : จริงๆแล้วการที่เราจะช่วยเหลือใคร ร่างกายของเราก็ต้องแข็งแรงก่อน ไม่ใช่ว่าร่างกายของเราไม่พร้อมแล้วเราไปดูแลเขา ให้ผมทำงานมาทั้งวันหรือบางครั้งไม่มีเวลาพักผ่อน เรารู้สึกว่าร่างกายเราเริ่มอ่อนแอล่ะ อาทิตย์หนึ่งเราได้ออกกำลังกายสัก 1 วัน แต่วันหนึ่งของผมต้องสักประมาณ 7-8 ชั่วโมงที่ผมต้องนั่งอยู่ตรงนั้น ผมออกกำลังไปเรื่อยๆเล่นออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน
ถาม ที่เราไว้หนวดเพราะอยากให้คนได้เห็นความแตกต่างของเราทั้งคู่หรือเปล่า

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : คือ ต้องบอกว่าเวลาที่เราไว้หนวดไว้เคราแล้วเรารู้สึกว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตที่มันดีๆ ตั้งแต่ที่ผมไว้หนวดที่เล่นเรื่อง บางระจัน ตอนนั้นเราได้รับรางวัลตุ๊กตาทองด้วย แล้วก็มีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรก็โกนหนวดทิ้งไป แล้วก็มาเล่น ตะกุโทน เราก็ลองไว้ดูเหตุการณ์ดีๆก็เกิดขึ้นอีก เดี๋ยวพอโกนหนวดไปเหมือน เอกพัน ตายเลยเพราะ เดี๋ยวเวลาที่ เอกพัน ไปทำสิ่งที่ดีๆไว้แล้วเดี๋ยวมาโดนผมอีก (หัวเราะ) ผมอยากให้เขาได้เห็นความแตกต่างไม่ใช่ว่าผมทำความดีแค่คนเดียว เพราะ เอกพัน เขาก็ทำร่วมกันกับผม

batch 4 2

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : แต่ถึงมีหนวด หรือ ไม่มีหนวด เขาก็บอกว่า บิณฑ์ ตลอดถามว่าเสียใจไหมไม่เสียใจเลยนะครับ แล้วเราก็ดีใจมากด้วยเพราะว่ายังไงเราก็ทำร่วมกันอยู่ดี

ปกติเวลาลงพื้นที่ลงคู่กันเลยไหม?
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : ปกติเราลงคู่กันครับ
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ถ้าบางทีเขาติดงานผมก็ลงคนเดียว แต่น้อยครั้งมากที่เขาไม่ได้มา

เห็นว่าการลงพื้นที่พร้อมกันทั้งคู่คือ มี 2 แนว คือ คนหนึ่งสายฮา คนหนึ่งสายจริงจัง

เอกพัน บันลือฤทธิ์ : เราก็ไม่ได้ฮาอะไรขนาดนั้น แต่ บิณฑ์ เขาจะจริงจัง มุงมั่นในสิ่งที่เขาจะไปแจก เราก็รู้สึกว่าบรรยากาศจะเครียดมาก แล้วทุกคนเหนื่อยเดินแจกๆ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราสร้างความสนุกสนานขึ้นมาคงจะดี เราก็ร้องเพลงเพื่อสร้างความสนุกตอนแรกร้องคนเดียว แต่พอเราร้องแล้วทุกคนรู้สึกสนุกเขาก็ร้องตามเรามันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของเราไปที่ไหนก็ต้องร้องเพลง พอร้องไปร้องมาบิณฑ์ เขาทนไม่ได้ร้องตามเรา มันเป็นอะไรที่เครียดแต่สิ่งที่เขาทำก็ทำให้ทุกคนเกิดรอยยิ้ม

Avatar photo