Lifestyle

ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นได้ แพทย์เผยสาเหตุ ‘โรคถุงลมโป่งพอง’ พร้อมวิธีป้องกันโรคนี้ถามหา

แพทย์ เตือนโรคถุงลมโป่งพอง เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ใกล้ชิด หรือผู้ที่สูดดมสารพิษอื่นๆ เป็นระยะเวลานาน อ่านวิธีป้องกันที่นี่

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือที่มักเรียกกันว่า
โรคถุงลมโป่งพอง คือ ภาวะที่ถุงลมภายในปอดมีการขยายตัวมากกว่าปกติ จึงส่งผลให้พื้นที่ผิวในปอดลดน้อยลง จนทำให้หายใจลำบาก และส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

โรคถุงลมโป่งพอง

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้มากที่สุดคือ การสูบบุหรี่ ยิ่งสูบมากก็ยิ่งมีโอกาสเป็นมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่เราสูบเองเป็นหลัก

นอกจากบุหรี่แล้วก็ยังมีสารพิษอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน เช่น มลภาวะในอากาศตามท้องถนน หรือตามโรงงานต่าง ๆ ถ้าหากสูดดมสารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ หรืออาจมีความผิดปกติของปอดตั้งแต่เด็ก ๆ จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนอื่น

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการ สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของโรคดังกล่าว ส่วนใหญ่มี 2 แบบ คือ ไอ และอาการเหนื่อย โดยผู้ป่วยจะเริ่มจากมีอาการไอ และมีเสมหะบ่อย ๆ มักจะเป็นมากในช่วงเช้า

ต่อมาผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อยหลังเดินออกกำลังกาย และเมื่อมีอาการมากขึ้น การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว ก็ทำให้มีอาการเหนื่อยได้แล้ว หรือแม้แต่อยู่เฉย ๆ ก็มีอาการรู้สึกเหนื่อยได้เช่นกัน

โรคถุงลมโป่งพอง

นอกจากนี้ อาจพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจถี่และสั้น หายใจแล้วมีเสียงหวีด รู้สึกแน่นหน้าอกหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ในบางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด และผอมลงมาก

เมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก จะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงของหลอดเลือดที่ไหลเข้าสู่ปอด ส่งผลให้หัวใจห้องล่างขวาโตขึ้น ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรค

1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีควันพิษ จากท่อไอเสีย

3. สวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเอง เมื่อต้องเจอกับฝุ่นควัน หรือสารพิษที่เป็นอันตราย

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเองด้วยการ หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงมลภาวะทางอากาศ พยายามอยู่แต่ในบ้านหรือในอาคาร หากมีความจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง

อีกทั้งผู้ป่วยควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และเชื้อนิวโมคอคคัส เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคนี้กำเริบขึ้นได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo