ต้อหิน ภัยเงียบคุกคามการมองเห็นในวัย 40+ สาเหตุหลักของการตาบอดถาวร หากรักษาไม่ทันท่วงที แพทย์สมิติเวชมีข้อแนะนำก่อนสายเกินแก้
พญ. จิรัฐิสรวง ฐิติกุลวาณิช สาขาจักษุวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช เปิดเผยว่า โรคต้อหิน เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของการสูญเสียการมองเห็น ซึ่งจะเป็นการสูญเสียแบบถาวรและไม่สามารถรักษาให้หายได้ และยิ่งหากมีคนในครอบครัวเป็นต้อหิน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นต้อหินได้ 4-5 เท่า
ทั้งนี้ โรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือการวินิจฉัยให้ถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการเข้ารับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
ต้อหิน นับเป็นภัยเงียบที่คุกคามการมองเห็น เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ จนโรคได้ลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าสู่ระยะสุดท้าย โรคต้อหิน จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการตาบอดถาวร โดยการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหิน จะไม่สามารถรักษาให้หายได้
โรคต้อหินนั้น ไม่ได้มีรูปร่างให้เห็น หรือมีหินเกิดขึ้นในดวงตา สาเหตุการเกิดมาจากการลดลงของเซลล์ และเส้นใยประสาท ในจอประสาทตา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตา ที่เป็นที่รวมของเส้นใยประสาทตา นำกระแสประสาทการมองเห็น ไปแปลผลที่สมอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลานสายตา หรือความกว้างของการมองเห็นตามมา
สำหรับในระยะแรก จะมีการสูญเสียลานสายตารอบนอก แต่การมองเห็นตรงกลางจะยังดีอยู่ ผู้ป่วยจึงสังเกตเห็นได้ยาก ทำให้ลานสายตาจะค่อย ๆ แคบเข้าเรื่อย ๆ ตามการดำเนินของโรคที่รุนแรงมากขึ้น จนเริ่มมีตามัวลงและตาบอดได้ในที่สุด โดยอาจพบร่วมกับภาวะความดันลูกตาสูงหรือไม่ก็ได้
ชนิดและอาการของโรคต้อหิน
โรคต้อหินแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่
- ต้อหินปฐมภูมิ คือ ต้อหินที่ไม่มีสาเหตุการเกิดจากปัจจัยภายนอก
ต้อหินปฐมภูมิมุมเปิด เป็นต้อหินปฐมภูมิชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด แบ่งออกเป็นชนิดความดันลูกตาสูง และความดันลูกตาปกติ ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการเกิดที่ชัดเจน การดำเนินโรคมักเป็นไปอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยจึงมักไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ ในระยะแรกของโรค
ส่วนใหญ่มักทราบจากการตรวจพบโดยจักษุแพทย์ และเมื่อโรคดำเนินไป จนมีการสูญเสียลานสายตามากถึงระดับหนึ่ง ผู้ป่วยจึงจะเริ่มมีอาการตามัว มองเห็นได้แคบลง หรือมีความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่สว่าง และมืดลดลง
ต้อหินปฐมภูมิมุมปิด พบมากในคนเอเชีย เกิดจากการอุดกั้นการระบายน้ำในลูกตาที่มุมตา ทำให้ความดันลูกตาขึ้นสูง แบ่งออกเป็นชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง
หากเป็นชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เห็นรัศมีรอบดวงไฟ และอาจปวดศีรษะคลื่นไส้อาเจียนได้ จัดว่าเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการถูกทำลายของขั้วประสาทตา
ส่วนชนิดเรื้อรังนั้นพบได้มากกว่า ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะเล็กน้อยเป็น ๆ หาย ๆ ในระยะเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี
- ต้อหินทุติยภูมิ เกิดจากความผิดปกติอย่างอื่นของดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจกที่สุกมาก การอักเสบภายในดวงตา เนื้องอกและมะเร็งในลูกตา อุบัติเหตุต่อดวงตา ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์
- ต้อหินตั้งแต่กำเนิดและในเด็กเล็ก เกิดจากความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้มีการระบายน้ำในลูกตาผิดปกติ โดยอาจมีความผิดปกติเฉพาะดวงตา หรือมีอาการผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการกลัวแสง เปลือกตากระตุก มีน้ำตาไหลเอ่อ หรือมารดาสังเกตเห็นว่าเด็กมีลูกตาดำใหญ่กว่าปกติ หรือมีตาดำขุ่น เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหิน
- ความดันลูกตาสูง จัดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงเดียวที่สามารถควบคุมได้ โดยพบว่าความดันลูกตายิ่งสูง จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นต้อหินและทำให้การดำเนินโรคเร็วขึ้นได้
- อายุ ที่มากขึ้น จะเพิ่มโอกาสของการเป็นต้อหิน โดยพบว่าต้อหินปฐมภูมิมุมเปิดพบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
- โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคอื่นๆ ที่มีผลต่อการไหลเวียนเลือด อาจทำให้มีความผิดปกติของการไหลเวียนเลือดที่ขั้วประสาทตา ทำให้มีการตายของเซลล์และเส้นใยประสาทตาได้ง่ายขึ้น จนเกิดโรคต้อหินได้ นอกจากนี้ กลุ่มโรคทางกายที่อาจมีการอักเสบที่ดวงตาร่วมด้วย เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ หากเป็นการอักเสบเรื้อรัง ก็อาจทำให้เกิดโรคต้อหินตามมาได้
- ประวัติครอบครัว หากมีคนในครอบครัวเป็นต้อหิน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นต้อหินได้ 4-5 เท่า
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดหยอด รับประทาน หรือฉีด หากใช้เป็นเวลานานจะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินมากยิ่งขึ้น
- การได้รับอุบัติเหตุที่ลูกตา หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดทางตา โรคตาบางชนิด เช่น เบาหวานขึ้นตา การอักเสบภายในลูกตา โรคเม็ดสีกระจายในตาผิดปกติ หรือต้อกระจกบางชนิด เป็นต้น
- สายตาสั้นมากหรือยาวมาก โดยพบว่าคนที่มีสายตาสั้นมากๆ จะมีความเสี่ยงในการเกิดต้อหินมุมเปิดมากขึ้น ในขณะที่คนที่มีสายตายาวมากๆ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อหินมุมปิดมากยิ่งขึ้น
การวินิจฉัยโรคต้อหิน
การวินิจฉัยโรคต้อหิน ทำได้โดยการตรวจวัดระดับการมองเห็น การวัดค่าสายตาหักเหด้วยคอมพิวเตอร์ การตรวจตาทั่วไป การตรวจขั้วประสาทตา การตรวจดูมุมตา การวัดความดันลูกตา การวัดความหนาของกระจกตา และการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อประเมินลักษณะและการทำงานของขั้วประสาทตา ได้แก่ การถ่ายรูปขั้วประสาทตา การตรวจขั้วประสาทตาด้วยเครื่องแยกชั้นจอประสาทตา และการตรวจลานสายตาด้วยเครื่องวัดลานสายตาอัตโนมัติ
- การรักษาโรคต้อหิน
เนื่องจากการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหิน ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ การรักษาโรคต้อหิน จึงมุ่งเน้นไปที่การชะลอการดำเนินของโรค ให้เป็นมากขึ้นช้า และน้อยที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียลานสายตา จนถึงระดับที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้โดยการแก้ไขหรือลดปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดโรค และทำให้ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน การลดความดันลูกตา โดยการลดการผลิตและการเพิ่มการระบายของน้ำในลูกตา เป็นการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงเดียว ที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยหลักแล้วสามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยา, การใช้เลเซอร์ และการผ่าตัด
สำหรับการรักษาโดยทั่วไป มักเริ่มการรักษาด้วยการให้ยา ยกเว้นในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องใช้เลเซอร์ สามารถเริ่มการรักษาโดยการใช้เลเซอร์ได้ทันที หากควบคุมความดันลูกตาด้วยยาหรือเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล จึงพิจารณาการผ่าตัดเพื่อทำทางระบายน้ำภายในลูกตา ให้ออกสู่เนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งจักษุแพทย์จะเป็นผู้เลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
นอกจากนี้ ในกรณีของต้อหินทุติยภูมิ จะต้องทำการรักษาโรค และหลีกเลี่ยงภาวะที่เป็นสาเหตุของต้อหินด้วย เช่น ในโรคต้อหินที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ก็ควรลดหรือหยุดยาสเตียรอยด์ หรือเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นทดแทน เป็นต้น ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเมื่อมีการใช้ยา
การป้องกันโรคต้อหิน
เนื่องจากโรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดคือการวินิจฉัยให้ถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างทันการและมีการพยากรณ์โรคที่ดี สามารถทำได้ ดังนี้
- การเข้ารับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตามัว ปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง เห็นรัศมีรอบดวงไฟ ให้รีบมาพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด
- ไม่ซื้อยาหยอดตามาหยอดเองเป็นเวลานานๆ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเมื่อเกิดความผิดปกติที่ดวงตา
- พยายามรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยงของโรคต้อหินให้ดี เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หากทำงานในสาขาที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อดวงตา ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาทุกครั้ง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พบอาการใหม่โควิด-19 ‘ตาแดง – ผื่นขึ้น’ เชื่อวัคซีนแอสตร้าเซเนก้ายังเอาอยู่
- อย่าเชื่อ! ยาหยอดตานาโน แก้ปัญหาสายตาสั้นยาว แพทย์ฟันธง ‘ข่าวลวง’
- ‘เด็กเกิดก่อนกำหนด’ พุ่งสูง แพทย์ชี้ ‘ทุกวินาที’ สำคัญต่อชีวิต