หากพูดถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพมหานคร สำหรับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แล้ว ชื่อของ “สุพรรณบุรี-อยุธยา” คงผุดขึ้นมาในใจของใครหลายๆ คน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่เดินทางไปง่าย มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และอาหารการกินอร่อยๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าว The Bangkok Insight ร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทริปเดินทางไปยัง สุพรรณบุรี และอยุธยา นำเสนอความน่าสนใจของทั้ง 2 จังหวัด ตามไปเที่ยวด้วยกันค่ะ
การเดินทางครั้งนี้ เราออกจากกรุงเทพฯ กันแต่เช้า เตรียมพร้อมกันทั้ง หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ สำหรับการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ทั้งยังไม่ลืมถุงผ้าคู่ใจ ไว้ใส่ของเวลาช้อปปิ้ง เพื่อช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก
สุพรรณบุรี-อยุธยา เที่ยวง่ายใกล้กรุง
เราใช้เวลาเดินทางชั่วโมงนิดๆ ก็ถึง สุพรรณบุรี โดยจุดหมายปลายทางแห่งแรกที่ตั้งเป้าไว้คือ “อุทยานมังกรสวรรค์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง“ โดยสถานที่แห่งนี้ เป็นที่เคารพของชาวไทย เชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร ที่ซึ่งหลายคนเชื่อว่า หากได้มากราบไหว้แล้ว จะนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จ และความสุข
ในบริเวณอุทยานมังกรสวรรค์นี้ ยังมี “พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร” ก่อตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสที่ประเทศไทย และจีน มีความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 20 ปี เมื่อปี 2539 ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ของจีน แบ่งเป็นห้อง 18 ห้อง รูปแบบแปลกตาด้วยภาพ แสงสีเสียง และเทคนิคพิเศษ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ บอกเล่าเรื่องราวความรู้ เกี่ยวกับเรื่องราว รูปแบบ วิถีชีวิตของชนชาวจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชาวไทยเสมือนพี่กับน้อง
กราบไหว้ขอพร รับความรู้กันไปอย่างเต็มที่แล้ว ออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป “วัดแค” วัดเก่าแก่ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในวรรณคดี เรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ภายในวัดมีต้นมะขามใหญ่อายุเป็นร้อยปี วัดโคนต้นโดยรอบได้ประมาณ 10 เมตร เชื่อกันว่าขุนแผนได้เรียนวิชาเสกใบมะขามจากต้นมะขามต้นนี้ ให้เป็นตัวต่อตัวแตนจากสมภารคง ไว้โจมตีข้าศึก
นอกจากนี้ทางจังหวัด ยังได้สร้างเรือนไทยทรงโบราณเรียกว่า “คุ้มขุนแผน” ไว้ใกล้กับต้นมะขามยักษ์นี้อีกด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสวัดแคเมื่อปี 2447
วัดนี้ ยังมีโบราณวัตถุที่น่าสนใจ ได้แก่ พระพุทธบาทสี่รอย ทำด้วยทองเหลือง กว้าง 1.40 เมตร ยาว 2.80 เมตร สร้างซ้อนกันไว้ในรอยใหญ่ ทั้งยังมี พระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ศิลปะรัตนโกสินทร์ จีวร และอังสะเป็นดอกพิกุล ประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าพระประธาน
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ก็มี เช่น ระฆังทองเหลือง หม้อต้ม กรักทองเหลือง ตู้ใส่หนังสือที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเมื่อปี 2412
ที่วัดแคนี้ ยังมี “ตลาดชุมชนบ้านค่ายเก่า วัดแค” ซึ่งจัดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าพื้นบ้าน ผัก ผลไม้ อาหาร ของฝาก และสินค้าในชุมชน โดยจะเปิดขายทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
จากวัดแค นั่งรถไปอีกแป๊ปเดียว ก็ถึง “วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร” อีก 1 วัดเก่าแก่ของเมืองสุพรรณบุรี เป็นวัดที่ว่ากันว่า ถ้ามาสุพรรณบุรี แล้วไม่ได้แวะมากราบไหว้ หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ ก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองสุพรรณ
วัดป่าเลไลยก์นี้ ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สันนิษฐานว่ามีอายุราว 1200 ปี ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าวัดป่า ซึ่งนอกจาก หลวงพ่อโต แล้ว รอบๆ วิหารของหลวงพ่อโต ยังมี จิตรกรรมฝาผนังเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่วาดไว้อย่างสวยงาม บอกเล่าเนื้อหาตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนถึงตอนสุดท้าย
ไหว้พระกันเสร็จแล้ว อย่าลืมแวะไปที่ “ตลาดต้องชม” ศูนย์รวมจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองของดีเมืองสุพรรณบุรี ที่อยู่ภายในบริเวณวัด สินค้าที่น่าสนใจ อาทิ ปลาสลิดดอนกำยาน ปลาแม่น้ำ ปลาแดดเดียว พืชผักผลไม้ และน้ำพริก มีให้เลือกหลากหลายชนิด หาซื้อได้ในราคาถูก
เที่ยวกันมาครึ่งค่อนวัน ได้เวลาแวะเติมพลัง ก่อนที่จะเดินหน้าเก็บเกี่ยวความสนุกกันต่อ โดยเราเลือกที่จะมากินข้าวกลางวันกันที่ “ธาราบุรี” ร้านอาหารบรรยากาศดี ริมแม่น้ำท่าจีน ถ้าใครอยากชิลๆ กับธรรมชาติ สามารถเลือกนั่งโซนเอาท์ดอร์ รับลมเย็นๆ จากแม่น้ำได้ แต่ถ้าใครไม่อยากเจอแสงแดดแรงๆ ยามเที่ยง ก็สามารถเลือกนั่งในโซนห้องแอร์ได้
เมนูที่เราเลือกกินในเที่ยงวันนี้ บอกได้คำเดียวว่า อร่อยทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปลากระพงทอดน้ำปลา ยำถั่วพลู หรือปลาดุกฟูผัดพริกขิง โดยเมนูที่แทบทุกคนในทริปให้คะแนนเต็ม ก็คือ “ไข่ตุ๋นหม้อไฟ” ไข่ตุ๋นเนื้อเนียน ที่ตุ๋นด้วยหมอไฟ รสชาติกลมกล่อมเครื่องแน่น ทั้งกุ้ง หมูสับ เห็ดหอม และวุ้นเส้น
อิ่มท้องกันแล้ว ก็ขึ้นรถมุ่งหน้าต่อไปยังสถานที่ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการท่องเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งนี้ “ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้)” สถานที่ ที่นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ความรู้เกี่ยวกับการทำนาอย่างถูกต้องแล้ว ที่นี่ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำมากมาย
กิจกรรมที่เราเลือกทำในวันนี้คือ การทำ “ไข่เค็มใบเตย” ทีได้เริ่มกระบวนการตั้งแต่ไปเก็บไข่เป็ดกันในเล้าเลย และการทำ “สาคู-ข้าวเกรียบปากหม้อ” ของว่างที่ช่วยเพิ่มพลัง หลังจากที่ตะลุยเรียนรู้วิถีชีวิตคนท้องถิ่น กันมาอย่างสนุกสนาน
ปิดท้ายทริปท่องเที่ยว 1 วัน นี้ ด้วยการเดินทางไปไหว้พระ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจากลาสุพรรณบุรี “พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ” หรือ หลวงพ่ออู่ทอง
ณ พุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี เขาทำเทียม ได้ชมความสวยงามของพระพุทธรูปปางโปรดพุทธมารดา แกะสลักอยู่บนหน้าผ้าหินชื่อ “ผามังกรบิน” ขนาดหน้าตัก 25 เมตร สูง 35 เมตร
เราโบกมืออำลาสุพรรณบุรี ในช่วงเย็นย่ำ เดินทางต่อไปยัง “อยุธยา” ซึ่งก่อนจะเข้าที่พัก ผู้ร่วมทริปก็ได้แวะกินอาหารเย็นกันที่ “บ้านอยุธยารมณ์” ร้านอาหารที่มีความสวยงามแบบไทยๆ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพิ่มความไม่ธรรมดาให้กับอาหาร ด้วยการใช้ถ้วยจานเบญจรงค์ มีทั้งห้องแอร์ และโซนกลางแจ้ง โดยอาหารที่เลือกทานในมื้อนี้ อาทิ กุ้งแม่น้ำเผา แกงส้มพริกขี้หนูปลาหมึกใส่สายบัว ผัดเขียวหวานแห้งทะเล ปลาช่อนลุยสวน และหมูคลุกฝุ่น ซึ่งแต่ละอย่างไม่ทำให้ผิดหวัง หมดจานกันทั้งนั้น
เสร็จจากมื้อเย็นแล้ว ตรงดิ่งเข้าที่พัก “โรงแรมคลาสสิค คามิโอ” โรงแรมระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอยุธยา เป็นโรงแรมที่ได้รับสัญลักษณ์ “SHA” รับประกันได้ถึงความปลอดภัยด้านสาธารณสุข และมาตรฐานการให้บริการ ที่มีคุณภาพ ทำให้มั่นใจได้ถึงการได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข และความปลอดภัยด้านสุขอนามัย
หลังจากนอนหลับพักผ่อน ตื่นมากินอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์นานาชาติที่โรงแรมกันแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยวอยุธยา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร โดยเราเริ่มต้นวันกันที่ “วัดเกาะแก้ว” ไหว้พระขอพร เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง
วัดแห่งนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช ซึ่งในปีพุทธศักราช 2301 วัดเกาะแก้วแห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งค่ายของกองทัพไทย ค่ายหนึ่งในเก้าค่ายด้วยกัน
ต่อจากวัดเกาะแก้ว ไปไหว้พระกันต่อที่ “วัดภูเขาทอง” เป็นวัดที่ นักท่องเที่ยว นิยมไปแวะกัน มีองค์พระเจดีย์ภูเขาทองขนาดใหญ่ สีขาวสวยตัดกับสีของท้องฟ้า ฐานเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับแบบมอญพม่า สันนิษฐานว่าสร้างเจดีย์องค์นี้ขึ้นเพื่อชัยชนะ สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร เมื่อปี พ.ศ. 1930 เจดีย์ภูเขาทองจึงมีลักษณะสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกัน
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นอีก 1 วัดที่ไม่ควรพลาด โดยวัดนี้ เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด ในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ด้านในมีพระประธานในพระอุโบสถที่มีแท่นฐานผ้าทิพย์ปูนปั้น ฝีมือประณีตงดงาม ใบเสมาของพระอุโบสถเป็นใบเสมาคู่แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง ถือได้ว่า เป็นอีกวัดที่มีความสำคัญอีกแห่งของอยุธยา
จากนั้น เดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นเกริกยุ้นพันธ์ สถานที่สะสมและรวบรวมของเล่นดีๆ ระดับโลก ไว้มากมายทั้งของเล่นอายุนับร้อยปี ไปจนถึงของเล่นในยุคปัจจุบัน ของเล่นไทย และของเล่นจากต่างประเทศ รวมถึงของเล่นสังกะสีจำนวนมาก โดยของเล่นทั้งหมดจัดแสดงในอาคารสีฟ้า 2 ชั้น บริเวณโดยรอบมีต้นไม้ใหญ่น้อย สร้างความรื่นรมย์ตระการตาอย่างมาก
ปิดท้ายทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ ที่ “ป้อมเพชร” ตั้งอยู่ใกล้กับ วัดสุวรรณดาราราม เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา อยู่บริเวณบางกะจะ เป็นป้อมสำคัญที่สุดในบรรดา 29 ป้อมของอยุธยาในอดีต สร้างในสมัย พระมหาจักรพรรดิ์ เพื่อป้องกันข้าศึกที่จะมาทางน้ำ เป็นที่บรรจบระหว่างแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นท่าเรือสินค้าที่สำคัญในอดีต สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ในปี 2123
ข่าวดีสำหรับ ผู้อ่าน The Bangkok Insight
- รับส่วนลดพิเศษ 10% เฉพาะค่าอาหาร ไม่รวมกุ้งแม่น้ำ และเครื่องดื่ม ที่ร้านธาราบุรี ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564
- รับส่วนลด 10% สำหรับอาหารจานเดี่ยว (A La Carte) ที่ร้านอยุธยารมภ์ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สระบุรี’ เที่ยวธรรมชาติ ชมวัฒนธรรม ประทับจิต ประทับใจ
- เที่ยวง่าย เที่ยวใกล้ เที่ยว ‘อยุธยา’
- ‘เมืองสายน้ำสามเวลา’ สมุทรสงคราม ไม่ได้มีดีแค่ตลาดน้ำ