Lifestyle

ทำความรู้จัก ‘โรคตาบอดกลางคืน’ อุปสรรคการใช้ชีวิตประจำวัน พร้อมวิธีรักษา

รพ.เมตตาฯ ชวนทำความรู้จัก โรคตาบอดกลางคืน อาการที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แนะวิธีลดความเสี่ยง โดยเฉพาะการพบจักษุแพทย์

นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตน์วนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคตาบอดกลางคืน (Night Blindness) คือภาวะตาบอดกลางคืน จะพบปัญหาการมองเห็นในที่มืด ซึ่งเป็นอาการที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาจทำให้การขับรถในเวลากลางคืน มีความลำบากในการมองเส้นทาง และอาจเกิดอันตรายได้

โรคตาบอดกลางคืน

การดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือ เมื่อมีปัญหาทางการมองเห็น ควรพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะปัญหาในการมองเห็น เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ และอาจมีโรคร่วมแทรกซ้อนได้ ซึ่งส่วนใหญ่ มักเป็นโรคที่รักษาได้ถ้าพบแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการ เช่น สายตาสั้น ต้อกระจก ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา รวมทั้งอาการตาบอดกลางคืน หรือการมองเห็นในที่มืด

ทั้งนี้ การดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือ การปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วนเสมอ พบแพทย์ตามนัด และรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไป

นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า ภาวะตาบอดกลางคืน หรือปัญหาการมองเห็นในที่มืด แสงสลัว จะพบว่าผู้ป่วยจะมีความลำบากในการทำกิจวัตรในที่แสงมืด หรือสลัว หรือต้องใช้เวลาปรับตัวในการเข้าในที่มืดนานกว่าปกติ

ลักษณะอาการโรคตาบอดกลางคืน จะพบปัญหาการมองในสถานที่ที่มีแสงสลัว หรือที่มีแสงสว่างน้อย โดยมักจะเกิดอาการขณะที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนการมองจากที่ที่มีแสงสว่างมาก ไปยังที่แสงสลัว เช่น การเดินจากภายนอกอาคารเข้ามาในตัวอาคารการเข้าชมภาพยนตร์ หรือ การขับรถตอนกลางคืนที่มีแสงสว่างไม่สม่ำเสมอ

อาการตาบอดกลางคืน ถือเป็นอาการสำคัญของโรค ที่อาจทำให้มีความเสี่ยง เรื่องการขับรถในเวลากลางคืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

นายแพทย์เอกชัย อารยางกูร จักษุแพทย์ หัวหน้าศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุ กล่าวเพิ่มว่า ตาบอดกลางคืน (Night blindness) ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่มองเห็นไม่ชัดในที่แสงสลัว หรือในเวลากลางคืน พบได้ในโรคของจอตาหลายโรค

โรคตาบอดกลางคืน

กล่าวคือ ในคนปกติ ภายในจอตาจะมีเซลล์รับรู้การเห็น (Photoreceptor cells) 2 ชนิด คือ

1. Rod (เซลล์รูปแท่ง) Rod จะกระจายอยู่ทั่วๆแต่จะมีปริมาณมากบริเวณริม ๆ ของ จอตา (Peripheral retina) เป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่ในการมองเห็นในที่แสงสลัว

2. Cone (เซลล์รูปโคน) มีการกระจุกตัวอยู่บริเวณจอตาส่วนอยู่ตรงกลาง (Central retina) โดยเฉพาะที่เรียกว่า จุดภาพชัด (Macula) ทำหน้าที่ในการมองเห็นตรงกลางและในที่มีแสงสว่าง

หากมีความผิดปกติของจอตาส่วนอยู่ตรงกลาง โดยเฉพาะในบริเวณจุดภาพชัด ความชัดเจนลดลง ร่วมกับการเห็นสีที่เปลี่ยนไป แต่ถ้ามีความผิดปกติของจอตาบริเวณริม ๆ โดยมีการทำลายหรือสูญเสียหน้าที่ หรือมีการตายของ Rod จะทำให้ตามัวลงเวลากลางคืนหรือที่มีแสงสลัว ซึ่งเรียกว่า ตาบอดกลางคืน (Night blindness)

ภาวะมีการสูญเสียหน้าที่หรือการตายของ Rod พบได้ในหลายโรค อาทิเช่น การขาดวิตามิน-เอ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น ขาดสังกะสี โดยวิตามิน A จำเป็นต้องทำงานร่วมกับสังกะสี  ดังนั้นจึงต้องกินสังกะสีให้เพียงพอ ซึ่งสามารถหาได้จากการกินถั่วเปลือกแข็ง เนื้อวัว หรือสัตว์ปีก

ปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น ต้อกระจก ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา หรืออาจจะเกิดการผิดปกติที่จอประสาทตา ความบกพร่องทางพันธุกรรม เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม (Retinitis Pigmentosa) ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาต้อหินบางชนิดที่ทำให้รูม่านตาหดตัวลง ยาในกลุ่มโคลิเนอร์จิก เอเจนท์ หรือภาวะสายตาสั้นมาก อาจแก้ไขโดยการใช้เลนส์ปรับค่าสายตา

shutterstock 2218790991

อาการตาบอดกลางคืนในระยะแรก จะมีการสูญเสียลานสายตาส่วนริม และเมื่อโรคมีความรุนแรงมากขึ้น จะเริ่มมีการสูญเสียลานสายตาส่วนกลาง จนกระทั่งเหลือลานสายตาที่แคบมาก และจะมีการสูญเสียความสามารถในการปรับตัวในการมองเห็นในที่มืด

วิธีการรักษานั้น จะใช้เครื่องมือพิเศษ เพื่อทำการยืนยันการวินิจฉัยโรคที่เป็นมาตรฐาน คือ ทำการ electroretinography (ERG) ซึ่งจากการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว จะพบว่ามีการลดลง หรือสูญเสีย amplitude ของ waveform ทั้งที่มาจาก rodและ cone cell แม้ว่ายังพอสามารถมองเห็นได้ก็ตาม

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคให้หายขาดได้ จักษุแพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคและการรักษาแบบประคับประคอง หรือการส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเลือนราง เพื่อให้ใช้สายตาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดได้ และการผ่าตัดฝังจอประสาทตาเทียม ก็จะสามารถทำให้มีระดับการมองเห็นเพียงพอที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ดังนั้น ควรตรวจติดตามกับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินภาวะสายตาอย่างสม่ำเสมอ การป้องกันตาบอดกลางคืนนั้น บางสาเหตุป้องกันได้ เช่น การขาดวิตามิน-เอ โดยการกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนทุกมื้ออาหาร เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอท บร็อคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว

แต่บางสาเหตุ เช่น จากกรรมพันธุ์ เป็นโรคป้องกันไม่ได้ แต่การพบจักษุแพทย์แต่เนิ่น ๆ แพทย์จะมีวิธีรักษาที่อาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอตาให้ช้าลงได้ การพบจักษุแพทย์ ยังช่วยวินิจฉัยโรคร่วมที่ทำให้การมองเห็นลดลง และรักษาควบคู่กันไป เช่น ต้อกระจก ซึ่งยังพบได้ในผู้ป่วย RP (Retinitis Pigmentosa) เป็นต้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo