“วราวุธ” เปิดประชุมวิชาการ สผ.ประจำปี 2563 พร้อมชูผลงานเด่น เพื่อขับเคลื่อนงานนโยบาย ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานการประชุมวิชาการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ประจำปี 2563 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ “ชีวิตวิถีใหม่ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”
โอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการ สผ. พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวง และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชน ร่วมรับฟังปาฐกถาพิเศษ
นายวราวุธ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ทั่วโลก ส่งผลให้การดำรงชีวิตในประจำวัน และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในแบบวิถีชีวิตใหม่
จากนี้ การสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทุกคน จะต้องมีความระมัดระวังในการดำรงชีวิต และจะต้องคำนึงถึงควาสมดุลระหว่างธรรมชาติ และมนุษยชาติ อีกทั้งในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จำเป็นจะต้องคำนึงถึงความสมดุล ระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้มากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินงานของ สผ. ที่ผ่านมาได้มีความมุ่งมั่น ที่จะดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้มีความอุดมสมบูรณ์ และคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ยั่งยืนต่อไป
ทางด้าน ดร.รวีวรรณ เลขาธิการ สผ. กล่าวว่า สผ. เป็นองค์กรที่มีภารกิจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่ต้องร่วมงานกับทุกภาคส่วน โดยการกำหนดนโยบายถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินงานที่ต้องดำเนินการตามนโยบายภาพรวมของประเทศด้วย
ดังนั้น การดำเนินงานของ สผ. ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา บุคลากรของ สผ. ได้ปฎิบัติงานอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ และก่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือ และเกิดเครือข่าย การต่อยอดองค์ความรู้ เพื่อร่วมกันดำเนินงาน สร้างความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ จากรุ่นสู่รุ่นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผลการดำเนินงานของ สผ. ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สามารถผลักดัน และมีผลการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ดังนี้
- การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ซึ่งปัจจุบันได้จัดคนลงในพื้นที่เป้าหมายแล้ว จำนวน 54,406 ราย ใน 255 พื้นที่ 65 จังหวัด ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแล้ว 176 พื้นที่ 60 จังหวัด
นอกจากนี้ ยังผลักดัน (ร่าง) พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาเป็นเรื่องเร่งด่วนตามแผนการปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ได้มีการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนนโยบายของ คทช. โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. จำนวน 9 คณะ
- กองทุนสิ่งแวดล้อม
ผลจากการดำเนินงาน ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศ ในด้านการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการป้องกันมลพิษ เช่น การบำบัดน้ำเสีย 2,190 ล้านลูกบาศก์เมตร การอนุรักษ์ และป้องกันป่าไม้ 2.64 ล้านไร่
การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการคัดแยกขยะต้นทาง ระยะที่ 1-2 แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เกิดเป็นชุมชนต้นแบบ จำนวน 595 แห่ง และในปี 2562 ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ระดับดี สาขาคุณภาพการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม กรณีโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพป่าใหญ่โคกจิก-ตาลอก อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
- การประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองไปแล้ว จำนวน 10 ฉบับ รวม 12 จังหวัด แบ่งเป็นประกาศกระทรวงฯ จำนวน 8 ฉบับ และกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ซึ่งในปี 2563 ได้มีการขยายประกาศพื้นที่เดิม จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ถนนต้นยางนา ขี้เหล็ก จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีประกาศฉบับที่ 2 จำนวน 1 ฉบับ คือ จังหวัดภูเก็ต
ในปี 2563 ยังออกประกาศฉบับใหม่ จำนวน 1 ฉบับ เพื่อทดแทนฉบับเดิม คือ พื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี โดยจะสิ้นสุดวันที่ 24 กรกฎาคม 2563
- การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม
สผ. ได้พิจารณาคัดเลือกสถานที่สำคัญควรค่าแก่การอนุรักษ์ ให้เป็นมรดกโลก ด้วยการเสนอผืนป่าแก่งกระจาน ขึ้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ทั้ง สผ. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการผลักดันการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม 2 แห่ง คือ
- เมืองโบราณศรีเทพ
- กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด
ประเทศไทยยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรรมการ ในคณะกรรมการมรดกโลก ตลอดจน สผ. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ขับเคลื่อนงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อม
- ด้านความหลากหลายชีวภาพ
สผ.ขับเคลื่อนงานตามกรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก หลังปี 2563 ร่วมกับประชาคมโลก เพื่อมุ่งสู่วาระการผลิตที่ยั่งยืน ปี 2573 และวิสัยทัศน์อนุสัญญา ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2593 “มีชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ”
รวมถึงผลักดัน พื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม เพื่อขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำ และได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2,420 ของโลก ลำดับที่ 15 ของประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563
นอกจากนี้ ได้ดำเนินการกำกับโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน เพื่อเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยผลักดัน อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม-เขตห้ามล่า หมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอุทยานมรดกอาเซียนลำดับที่ 45 และ 46
สผ. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการเสนอให้อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอุทยานมรดกอาเซียนแห่งต่อไป
- การดำเนินงานด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีการแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Joint Statement on Climate Change) โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแถลงการณ์ร่วมอาเซียน ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุม COP 25 โดยนายวราวุธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
สำหรับข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งใน ปี 2561 สามารถลดได้ 57.84 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ คิดเป็นร้อยละ 15.76 จากมาตรการสาขาพลังงาน รวมถึงการได้เข้าร่วม NDC Partnership ของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้าน NDC และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
- การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ให้บริการประชาชน
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ไทยแลนด์ 4.0 ดังนี้
Smart EIA
เปิดใช้งานระบบฐานข้อมูล EIA ทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านบริการเว็บ และแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์มือถือ “SMART EIA” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากขึ้น
Smart E-Fund
เป็นระบบฐานข้อมูลของกองทุนสิ่งแวดล้อมที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน รองรับการใช้งานผ่านเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน โดยนำมาใช้ยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และผู้ที่มีความสนใจ ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก รวดเร็วลดขั้นตอน รวมถึงมีความถูกต้องและแม่นยำ
TH-BIF หรือ Thailand Biodiversity Information Facility
ระบบเครือข่ายที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทยเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้หน่วยงาน และประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงและเรียกดูได้ ณ จุดเดียว (single window)
TGEIS หรือ ระบบสารสนเทศการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลียทั้งด้านงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบฯ จึงทำให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้ง 5 ภาคส่วน ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สผ.’ เดินหน้าฝ่า ‘วิกฤติสิ่งแวดล้อม’ ยุค ‘นิว นอร์มัล’
- สผ. 4.0 ก้าวสู่ ‘องค์กรดิจิทัล’ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ บริการประชาชนเต็มรูปแบบ
- สผ. เน้นหลักธรรมาธิบาลกำกับ ‘รายงาน EIA’ หนุนพัฒนายั่งยืน