เอสซีจี มุ่งสร้างสังคม Net Zero เร่งเครื่องพลังงานสะอาด-ปูนคาร์บอนต่ำ จับมือชุมชนขยายผลฟื้นน้ำ สร้างป่า ลดฝุ่น PM 2.5 ลดเหลื่อมล้ำสร้างอาชีพ เติบโตยั่งยืนร่วมกัน SUSTAINABILITY & ESG
นายโอบบุญ แย้มศิริกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน Enterprise Brand Management เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus เร่งสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่ ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ทั้งนี้ ในทุกธุรกิจมุ่งใช้กระบวนการผลิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนานวัตกรรมรักษ์โลก และร่วมกับทุกภาคส่วนลดเหลื่อมล้ำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ได้แก่ โครงการรักษ์ภูผามหานที เพื่อให้ชุมชนมีน้ำใช้ตลอดปี ด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำ ซึ่งทำไปแล้วกว่า 1.2 แสนฝาย
นอกจ่ากนี้ ยังมีโครงการพลังชุมชน อบรมให้ความรู้ เปลี่ยนวิธีคิด สร้างอาชีพ มีรายได้เพิ่มจากการเพิ่มมูลค่าสินค้าในท้องถิ่นให้โดดเด่นและตอบความต้องการตลาด ปัจจุบันมีผู้ร่วมเข้าทั้ง 2 โครงการ กว่า 2 แสนคน จาก 500 ชุมชน ใน 37 จังหวัด เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง
ด้านนายวรการ พงษ์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่วันแรกที่เอสซีจี ลำปางก่อตั้งขึ้น ยึดหลัก สร้างงาน สร้างความเจริญ รักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นพลเมืองดีของลำปาง ดำเนินงานโดยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก
ในการดำเนินการจะเน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Manufacturing) โดยเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทดแทน 40% อาทิ ชีวมวล (Biomass) ขยะมูลฝอยจากชุมชน (RDF) วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด กิ่งไม้ใบไม้ จากโครงการ ชิงเก็บ ลดเผา ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ได้อย่างดี
นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ร้อยละ 26 ด้วยการติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำ โซลาร์รูฟท็อป นำลมร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ (Waste Heat Generator) อีกทั้งใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกหินปูน-รถตัก-รถขุดไฟฟ้าในโรงงาน
ปูนคาร์บอนต่ำ ร่วมสร้างสังคม Net Zero
ขณะเดียวกันยังผลิตปูนคาร์บอนต่ำเป็นรายแรกของไทย ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน CO2 ต่อการผลิต 1 ตัน ปัจจุบันส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐ มาเลเซีย หมู่เกาะมัลดีฟส์ และปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 2 ซึ่งสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีก 5%
พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมองค์ความรู้ และเทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ผ่านการสร้างฝายชะลอน้ำ การปลูกป่าชุมชน และต่อยอดสู่การพัฒนาอาชีพ
นายสงกรานต์ เป็นพวก ผู้ใหญ่บ้านสาแพะเหนือ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ช่วงปี 2558-2559 เกิดภัยแล้งรุนแรง ต้นข้าวยืนต้นแห้งตายเกือบทั้งหมู่บ้าน ชุมชนจึงเข้าร่วมโครงการรักษ์ภูผามหานที กับเอสซีจี ลำปาง เรียนรู้การบริหารจัดการน้ำ ควบคู่กับการดูแลป่าต้นน้ำ เช่น สร้างฝายชะลอน้ำ ฝายใต้ทราย วังเก็บน้ำ ประตูเปิด-ปิดน้ำ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้อ่างเก็บน้ำชุมชนอ่างห้วยแก้ว ได้ถึง 8 หมื่นลูกบาศก์เมตร
อีกทั้งยังลดการสูญเสียการจ่ายน้ำด้วยการทำบ่อพวงคอนกรีตตามสันเขา ชุมชนจึงสามารถกักเก็บน้ำเพื่อเพาะปลูกได้ตลอดปี เน้นพืชมูลค่าสูง ขายได้ราคาดี เช่น ถั่วพุ่ม ถั่วแระญี่ปุ่น ข้าวโพดหวาน และผลไม้ยืนต้น เช่น เงาะ ทุเรียน สร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ยปีละ 20 ล้านบาท
นายสุมัย หมายหมั้น นายกสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จังหวัดลำปาง กล่าวว่า สมาคมฯ และเอสซีจี ลำปางได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้ง กองทุนคาร์บอนเครดิตชุมชน ปัจจุบันมีชุมชนเข้าร่วมกว่า 250 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ 5 แสนไร่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ 2.5 แสนตัน CO2 ต่อปี ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยแล้ง น้ำท่วม หมอกควัน ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5
นอกจากการดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการรักษ์ภูผามหานที เอสซีจียังมุ่งลดเหลื่อมล้ำสังคม 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การศึกษา อาชีพ และสุขภาวะ โดยในด้านอาชีพ เอสซีจีริเริ่มโครงการพลังชุมชน ซึ่งเป็นหลักสูตรอบรมวิสาหกิจชุมชน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างโอกาสให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน
นางภัทชา ตนะทิพย์ นวัตกรตัวแม่ ชุมชนวังชิ้น จังหวัดแพร่ กล่าวว่า หลังจากเข้าอบรมโครงการพลังชุมชน ซึ่งเอสซีจีจัดขึ้น จึงนำวิธีคิด ง่าย ไว ใหม่ ใหญ่ ยั่งยืน มาใช้สร้างอาชีพ ด้วยการแปรรูปกล้วยหอมทองอย่างหลากหลาย ให้ถูกใจลูกค้า อีกทั้งได้ชวนเยาวชนในท้องถิ่น มาร่วมออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม สร้างเพิ่มมูลค่าให้สินค้า โดยใช้ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตจาก LocoPack ของ SCGP เ
ขณะที่เป้าหมายถัดไปคือการพัฒนาชุมชนวังชิ้นเป็นชุมชนเศรษฐกิจ กล้าคิด กล้าทำ ทำต่อเนื่อง ตั้งศูนย์นวัตกรรมกล้วยหอมทองครบวงจร เปิดสอนอาชีพ สร้างงานให้ชุมชนมีรายได้เพิ่ม และเชิญชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมพัฒนาการตลาด เชื่อมกับแผนการท่องเที่ยวให้เป็นชุมชนท่องเที่ยว เชิงสุขภาพและชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจ จังหวัดแพร่
นายสินชัย พุกจินดา เจ้าของโฮมสเตย์ หมอนไม้ไออุ่น จังหวัดแพร่ กล่าวว่า แม่ภัทชาเป็นบุคคลต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและลงมือทำ หลังจากได้เข้าอบรมในโครงการพลังชุมชน จึงเกิดความคิดว่า ชุมชนเรามีของดีที่เป็นเอกลักษณ์ และพัฒนาเป็นอาชีพได้ นั่นคือทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศดี น่าท่องเที่ยว
ดังนั้น จึงใช้ทักษะการเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ไม้สักมาออกแบบโฮมสเตย์ หมอนไม้ไออุ่น จุดเด่นคือนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสเครื่องเรือนไม้สักที่ทำจากมือด้วยหัวใจ ให้บริการอาหารเครื่องดื่ม ชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางภูเขา ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็น จุดเช็คอิน ที่นักเดินทางต้องแวะเวียนมา
นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำสินค้า ของฝากของที่ระลึกมาจำหน่าย อนาคตจะดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อยกระดับให้ อำเภอวังชิ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างงาน อาชีพ และยังทำให้คนท้องถิ่นภูมิใจในบ้านเกิดด้วย
จากตัวอย่างความร่วมมือของทุกภาคส่วน และบุคคลหลากหลายวัย ส่งผลให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และนำไปสู่เป้าหมายสังคม Net Zero ได้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ยูโอบี’ หนุนเอสเอ็มอีภาคธุรกิจท่องเที่ยว สู่เป้าหมาย ‘Net Zero’
- วิจัยชี้ ‘นวัตกรรมความยั่งยืน’ ส่อแววหนุน ‘อุตฯ ก่อสร้างตะวันออกกลาง’ บรรลุเป้า Net Zero กว่า 50%
- ‘ไทย-เยอรมนี’ ยกระดับความร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ติดตามเราได้ที่
เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg