Environmental Sustainability

‘สตาร์บัคส์ไทย’ เปิด 3 สาขานำร่อง ‘ร้านกาแฟสีเขียว’ หนุนลดคาร์บอน 50% ปี 2573

“สตาร์บัคส์ไทย” ประกาศเปิดตัว “ร้านกาแฟสีเขียว” ตามมาตรฐาน Greener Store สนับสนุนเป้าหมายลดคาร์บอน ของเสีย 50% ภายในปี 2573

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เปิดตัว ร้านกาแฟสีเขียว ซึ่งเป็นร้านที่มีองค์ประกอบเชิงนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมผ่านการรับรองตามมาตรฐาน Greener Store ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สตาร์บัคส์ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาธุประดิษฐ์ สตาร์บัคส์ โรบินสัน ปราจีนบุรี และ สตาร์บัคส์ สถานีบริการน้ำมันเชลล์ นครชัยศรี

สตาร์บัคส์ไทย

สำหรับ Greener Stores คือ การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานใหม่สำหรับร้านสตาร์บัคส์ ให้ตอบสนองต่อการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

กรอบการดำเนินของ Greener Stores ได้รับการพัฒนาร่วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) เพื่อกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ประสิทธิภาพ 25 ข้อ เช่น ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน การดูแลน้ำ และการแยกของเสีย

ทั้งหมดนี้ ออกแบบมาเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็น ร้านสตาร์บัคส์ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ และเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของสตาร์บัคส์ในการลดการปล่อยคาร์บอน การใช้น้ำ และของเสียลง 50% ภายในปี 2573

Starbucks Satupradit

ทั้งนี้ ร้านกาแฟสีเขียว แต่ละแห่ง จะมีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนที่แตกต่างกัน และจะได้รับการรับรองผ่านองค์กรภายนอกเพื่อมาตรฐาน ซึ่งผลการดำเนินงานของ Greener Store แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประหยัดน้ำและพลังงานได้มากถึง 30%

ในปัจจุบัน ร้านสตาร์บัคส์มากกว่า 3,500 แห่ง ใน 20 ประเทศทั่วโลก ได้รับการรับรองว่าเป็น ร้านกาแฟสีเขียว

สำหรับสตาร์บัคส์ไทย มีร้านกาแฟสีเขียว ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สตาร์บัคส์ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาธุประดิษฐ์ สตาร์บัคส์ โรบินสัน ปราจีนบุรี และ สตาร์บัคส์ สถานีบริการน้ำมันเชลล์ นครชัยศรี

Starbucks Prachinburi

หลักการพิจารณาร้านกาแฟสีเขียว สตาร์บัคส์ไทย

  • การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อกำหนดระบุให้หลอดไฟทั้งหมดที่ใช้ภายในร้าน เป็นหลอดไฟประเภท LED การใช้หม้อต้มน้ำร้อนที่ตัดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิของน้ำถึง 70 องศาเซลเซียส และจะเริ่มทำงานอีกครั้ง เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าประมาณ 10 องศาเซลเซียส

การใช้เครื่องทำน้ำแข็ง และเครื่องล้างจาน ที่ได้มาตรฐานการประหยัดพลังงานของประเทศสหรัฐอเมริกา (Energy Star) รวมไปถึงตู้แช่เย็น และตู้แช่แข็ง ที่ต้องมีคุณสมบัติการใช้พลังงานเทียบเท่าเกณฑ์ประหยัดพลังงาน

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการติดตั้งระบบปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ (Inverter) และ VRF ที่มีค่าประหยัดพลังงาน SEER สูงเทียบเท่าหรือดีกว่าเกณฑ์ที่เคยใช้ก่อนหน้า

  • การบริหารจัดการขยะ

ข้อกำหนดจะต้องใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และดำเนินการตามนโยบายของสตาร์บัคส์สากล พร้อมทั้งมีการจัดเก็บกากกาแฟ เพื่อให้ลูกค้านำไปปลูกต้นไม้ โดยลูกค้าสามารถรับได้ฟรีที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขา

  • การจัดการระบบน้ำ 

ระบุให้มีการติดตั้งระบบกรองน้ำ ทั้งแบบกรองหยาบ และกรองละเอียด เพื่อให้น้ำมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด การใช้ก๊อกประหยัดน้ำที่มีอัตราการไหลของน้ำไม่เกิน 4.5 ลิตร/นาที และการติดตั้งก๊อกปิดน้ำอัตโนมัติบริเวณซิงค์ล้างมือ และเป็นก๊อกน้ำที่มี Aerators บริเวณซิงค์ล้าง รวมถึงการใช้เครื่องปั่นที่มีประสิทธิภาพสูง

  • การเลือกใช้วัสดุที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

กำหนดให้หลอดไฟทั้งหมดที่ใช้ภายในร้านต้องเป็นหลอดไฟ LED รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่ใช้ภายในร้าน เป็นวัสดุ low VOC หรือค่าฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำ  พร้อมทั้งดำเนินการโปรแกรมการจัดหา Ethical Sourcing Program และการรับซื้อเมล็ดกาแฟ C.A.F.É. Practices Coffee ตามนโยบายของสตาร์บัคส์สากล

  • สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

กำหนดให้ร้านสตาร์บัคส์สีเขียว เลือกใช้ยิปซั่มเป็นฝ้าเพดานภายในร้านและใช้ฝ้าแบบดูดซับเสียงบริเวณเพดานเหนือบาร์ และภายในห้อง Community พร้อมการออกแบบการวางไฟตาม Lighting Guideline ของสตาร์บัคส์

TH GREEN STORE concepts

สตาร์บัคส์ ยังได้เสนอทางเลือกใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อผู้บริโภค เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้กับลูกค้าไปพร้อมกัน เช่น นโยบายส่งเสริมให้ลูกค้าใช้แก้วส่วนตัว โดยมอบส่วนลด 10 บาทต่อเครื่องดื่ม การใช้หลอดที่ทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

เมื่อปี 2565 สตาร์บัคส์ทุกสาขาได้เริ่มใช้แก้วสำหรับใช้ที่ร้าน เพื่อลดการใช้พลาสติก การรีไซเคิลกากกาแฟไปผลิตเป็นโต๊ะ กลับมาใช้ภายในร้าน รวมถึงถาดและที่รองแก้วกาแฟ

ตลอดจนการนำเสนอเมนูเครื่องดื่มและขนมที่ทำจากพืช (plant-based) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo