จบไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ การประมูลคลื่น 5G ของ กสทช. ซึ่งผลปรากฎว่ามี บริษัทโทรคมนาคมของไทย 5 แห่ง ได้รับ ใบอนุญาต (license) ไปครอบครองในทั้งหมด 3 คลื่นความถี่ คิดเป็นมูลค่ารวม 100,521 ล้านบาท ได้แก่
1. คลื่น 700MHz มูลค่ารวม 51,460 ล้านบาท แบ่งเป็น
CAT ได้ 2 ใบอนุญาต มูลค่า 34,306 ล้านบาท
ADVANC ได้ 1 ใบอนุญาต มูลค่า 17,154 ล้านบาท
2. คลื่น 2600MHz มูลค่ารวม 37,434 ล้านบาท แบ่งเป็น
ADVANC ได้ 10 ใบอนุญาต มูลค่า 19,561 ล้านบาท
TRUE ได้ 9 ใบอนุญาต มูลค่า 17,873 ล้านบาท
3. คลื่น 26GHz มูลค่ารวม 11,627 ล้านบาท แบ่งเป็น
ADVANC ได้ 12 ใบอนุญาต มูลค่า 5,345 ล้านบาท
TRUE ได้ 8 ใบอนุญาต มูลค่า 3,576.60 ล้านบาท
TOT ได้ 4 ใบอนุญาต มูลค่า 1,795 ล้านบาท
DTAC ได้ 2 ใบอนุญาต มูลค่า 910.40 ล้านบาท
แน่นอนว่านอกจาก 5G จะเป็น เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก ความเร็วของการเชื่อมต่อทั่วทุกมุมโลกแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบ ต่อ 3 หุ้นกลุ่มสื่อสาร ในตลาดหลักทรัพย์ ADVANC, TRUE และ DTAC มาโดยตลอด
“ราคาที่ต้องจ่ายของ ADVANC – TRUE – DTAC”
การได้ใบอนุญาตย่อมแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่ายมหาศาล โดย ADVANC ได้คลื่นมากที่สุด รองลงมาเป็น TRUE และ DTAC อันดับสุดท้าย เพราะฉะนั้น มูลค่าที่แต่ละรายต้องจ่ายในการประมูลครั้งนี้ เท่ากับ
ADVANC มูลค่า 42,060 ล้านบาท
TRUE มูลค่า 21,450 ล้านบาท
DTAC มูลค่า 910 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บล. บัวหลวง ระบุว่า ค่าใช้จ่ายใบอนุญาตของคลื่น 2600MHz, 26GHz จะทยอยรับรู้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 และคลื่น 700 MHz ในเดือนเมษายน 2564 ทำให้ ผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ที่เกิดขึ้นออกมาเป็น ดังนี้
วิเคราะห์คร่าวๆ จะเห็นว่า ADVANC เป็นผู้ที่ได้รับคลื่นในมือเยอะสุด แต่ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้กระทบกำไรมากเท่าไหร่นัก ตรงกันข้ามกับ TRUE ที่อาจกระทบต่อผลประกอบการถึงเกือบครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองไปที่ DTAC แม้ค่าใช้จ่ายแทบไม่กระทบต่อกำไรบริษัท แต่การที่ได้คลื่นมาครอบครองน้อยเกินไปแบบนี้ ย่อมส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน ของบริษัทอย่างแน่นอน
สำหรับบทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า จะเป็น ประเด็นบวกต่อ ADVANC และ TRUE ด้วยราคาประมูลที่ไม่ได้สูงจนเกินไป โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ADVANC ที่ ราคาเป้าหมาย 226.46 บาท รวมถึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” TRUE ที่ ราคาเป้าหมาย 5.83 บาท ขณะเดียวกันมองว่า DTAC จะตอบรับในเชิงลบต่อไป
ด้านฝ่ายวิจัย บล. เอเชียพลัส มองว่าโดยรวมแล้ว ผลประมูล ที่ออกมา ไม่ได้สร้าง Downside ที่มีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรม แม้ ราคาประมูลคลื่นจะสูงกว่าคาดการณ์ไว้ 37.6% ซึ่งผลที่ออกมาแบบนี้ ทำให้โครงสร้างคลื่นของผู้ให้บริการอันดับ 1 และ 2 ทิ้งห่างอันดับ 3 ไปอีกมาก
เพราะฉะนั้น จึงได้ปรับประมาณการกำไรของ DTAC ลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่าจะเสียฐานลูกค้าออกไป โดยปรับกำไรปี 2563 ลดลง 7% และ ปี 2564 ลดลง 12%