Technology

รุมต้านดีลควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ กระทบค่าบริการมือถือ -บอร์ดใหม่กสทช. ต้องกล้าตัดสินใจ

เวทีเสวนาสภาองค์กรของผู้บริโภค ชำแหละดีลควบรวม “ทรู-ดีแทค” กระทบค่าบริการมือถือ ย้ำบอร์ดใหม่กสทช. ต้องกล้าหาญ และตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การแข่งขันเสรีในกิจการโทรคมนาคม 

สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.)  ได้จัดเวทีเสวนาวิชาการ Consumers Forum EP.2 : “Public Policy & Telecom Mergers: Ramifications on Competition and Consumers Protection : นโยบายสาธารณะกับปัญหาการควบรวมกิจการโทรคมนาคม” ที่สภาองค์กรของผู้บริโภคจัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค มาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในกรณีการควบรวมกิจการสองค่ายมือถือ ทรู-ดีแทค ที่จะทำให้ผู้ประกอบการค่ายมือถือรายใหญ่ในประเทศไทย จาก 3 ราย ลดเหลือเพียง 2 ราย ที่อาจถือว่าเป็นการผูกขาดหรือไม่ และผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

เวทีเสวนาเรื่อง “นโยบายสาธารณะในการกำกับดูแลการแข่งขันและคุ้มครองผู้บริโภค” มีผู้เข้าร่วมเสวนานำโดย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย และประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม เทคโนโลยีและสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค, น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่าง True และ Dtac และการค้าปลีก – ค้าส่ง

ture dtac 1

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เข้าร่วมเสวนาดังกล่าว

น.ส. สุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวถึงประเด็นการควบรวมกิจการของทรู-ดีแทค ว่าเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของสาธารณชน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้ให้บริการรายใหญ่กำลังลดจำนวนลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาดเกิดขึ้น

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงกรณีที่ทรูประกาศการควบรวมกิจการโทรคมนาคมกับดีแทคว่า กสทช. เป็นองค์กรกำกับดูแลที่ควรต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี จึงควรต้องดำเนินการกำกับดูแลการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรู – ดีแทค ไม่ให้เกิดการแข่งขันที่น้อยลง หลีกเลี่ยงการมีอำนาจเหนือตลาดของธุรกิจ

“พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้รับรองสิทธิที่สำคัญของผู้บริโภคเอาไว้ คือการมีอิสระที่จะเลือกใช้สินค้าหรือบริการ ดังนั้น การควบรวมกิจการจาก 3 เจ้า เหลือ 2 เจ้า จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และขัดต่อกฎหมายแน่นอน อีกทั้งยังทำให้เกิดอำนาจเหนือตลาดอย่างชัดเจน ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภค จะเดินหน้าและติดตามจัดทำข้อเสนอต่างๆ ออกมา เพื่อส่งให้ กสทช. อย่างเป็นการต่อไป” สารี กล่าว

ศิริกัญญา
ศิริกัญญา ตันสกุล

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่าง True และ Dtac และการค้าปลีก-ค้าส่ง กล่าวถึงผลการศึกษาของ กมธ. ในประเด็นดังกล่าวว่า การพิจารณาเรื่องการควบรวมกิจการโทรคมนาคมและการปลีกค้าค้าส่ง มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างน่าตกใจ คือ ผู้กำกับดูแลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องผู้บริโภคอย่างเต็มที่ เห็นได้จากการออกประกาศ กสทช. เมื่อปี 2561 ไปลดทอนอำนาจของตัวเอง ยิ่งเมื่อใช้ดุลยพินิจตีความกฎหมาย ก็พยายามปัดความรับผิดชอบไปมา

อย่างไรก็ตามการควบรวมกิจการระหว่างทรู – ดีแทค จะส่งผลต่อการกระจุกตัวของผู้ให้บริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราค่าบริการค่อนข้างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของจุฬาฯ ที่พบว่า การควบรวมกิจการโทรคมนาคมจะทำให้อัตราค่าบริการเพิ่มขึ้น 20% ทั้งนี้ มองว่าบอร์ดใหม่กสทช. ต้องกล้าหาญ และตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะกรณีดีลทรู – ดีแทค เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ

นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกสทช. กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องดังกล่าวว่า กรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม อยู่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองของ กสทช. จำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ไม่ควรเร่งรีบ และควรมุ่งเน้นการปกป้องประโยชน์สาธารณะโดยตีความและใช้ประกาศของตนเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ จึงไม่ควรปฏิเสธโดยการตีความว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมนี้ไม่อยู่ในอำนาจของ กสทช.

“สิ่งที่เราต้องการวันนี้ หากเกิดการควบรวมกิจการเกิดขึ้นจริง จำเป็นที่กสทช. ต้องรักษาระดับแข่งขันให้ได้ใกล้เคียงเดิม หากรักษาระดับการแข่งขันไม่ได้ ความเสียหายเกิดขึ้นแน่นอน อีกทั้งต้องประเมินผลกระทบการควบรวมกิจการ และจำกัดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด” นพ.ประวิทย์ กล่าว

สำหรับประเด็นการเปิดเสรีด้านโทรคมนาคมนั้น นพ.ประวิทย์ มองว่า ประเทศไทยมีความดึงดูดที่ต่างชาติอยากมาลงทุนกิจการโทรคมนาคม แต่ติดเรื่องกฎหมายที่ห้ามบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในเรื่องโทรคมนาคม และเชื่อว่าหากมีการเปิดตลาดเสรีจะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง

ทรู-ดีแทค

นอกจากนี้ นพ.ประวิทย์ ยังกล่าวเสริมถึงการดำเนินงานของรัฐบาลต่อกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมทิ้งท้ายว่า รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) และ NT เป็นผู้ถือหุ้นของหนึ่งในบริษัทที่จะควบรวม NT มีอำนาจลงมติคัดค้านการควบรวม หากรัฐบาลมีเจตนารมณ์ให้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ รัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ NT ในฐานะเจ้าหนี้คัดค้านการควบรวม ส่วนการคัดค้านแล้วได้ผลอย่างไรก็เป็นกระบวนการหนึ่ง แต่การเงียบในฐานะผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ใส่ใจกับการควบรวมดังกล่าว

อย่างไรก็ตามกสทช. ควรทำงานให้เป็นมืออาชีพมากกว่าไหลไปตามกระแส ขณะที่ภาคสังคมต้องทำงานคู่ขนานอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการควบรวมดังกล่าวเพื่อปกป้องประโยชน์ของตัวเองด้วย ส่วนกลุ่มของภาครัฐก็ต้องร่วมมือกันให้เข้มข้นขึ้น ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ทั้งยังฝากตั้งคำถามไปถึงภาคเอกชนว่า จากที่ภาคเอกชนกล่าวอ้างว่าการควบรวมจะทำให้ประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนดีขึ้นนั้น มีแผนการที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมหรือไม่อย่างไร

นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวถึงข้อห่วงกังวลของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ว่า การควบรวมกิจการทรู – ดีแทคนั้น นอกจากจะทำให้ผู้เล่นในตลาดน้อยลงแล้ว การแข่งขันก็จะน้อยลงตามไปด้วย จึงอยากให้ กสทช. พิจารณาในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ รอบด้าน เพราะเป็นเรื่องประโยชน์สาธารณะ อีกทั้งต้องมีมาตรการเยียวยา นำกฎหมายแข่งขันทางการค้าฯ มาบังคับใช้ด้วย

ทั้งนี้ กสทช. ควรบูรณาการการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกับสำนักงานแข่งขันทางการค้าและกระทรวงพาณิชย์ เพราะในอนาคตหากราคาค่าบริการกระทบต่อผู้บริโภค อาจต้องมีการควบคุมราคา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีกลไกของกฎหมาย ดูแลประชาชนอยู่แล้ว

“อยากให้ กสทช. คำนึงถึงมิติเรื่องผู้บริโภคก่อนจะรับทราบ หรืออนุญาตให้มีการควบรวมกิจการ และควรมีมาตรการออกมาปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคด้วย ซึ่ง สคบ.จะติดตามและสะท้อนปัญหา เพื่อปกป้องสิทธิผู้บริโภคต่อไป” รองเลขาธิการ สคบ. ระบุ

ศรัณย์
ศรัณย์ ผโลประการ

ด้านมุมมองภาคเอกชน นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า กสทช. มีอำนาจเต็มในการควบรวมกิจการ ดังนั้น ตีความว่าไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องดังกล่าวโดยอ้างประกาศ กสทช. ปี 2561 นั้นอาจเป็นการตีความกฎหมายที่แคบเกินไป พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมาประเทศไทย มีผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลัก 3 รายมากว่า 20 ปี เคยชินกับการมีโปรโมชันทุกวัน แต่เชื่อว่าหลังจากควบรวมกิจการและจำนวนผู้เล่นลดลงจะส่งผลให้โปรโมชั่นต่างๆ ลดน้อยลง ทั้งนี้ เอไอเอส พร้อมแข่งขันอย่างเต็มที่ แต่ กสทช.ต้องกำหนดกติกาให้สมดุลด้วย

“การควบรวมทรู – ดีแทค เป็นซีรีส์ที่ 2 ต่อจากการควบรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นการผูกขาดข้ามอินดัสทรี่ของกลุ่มซีพี และมีความเสี่ยงจะเกิดการกีดกันทางการแข่งขันในพื้นที่ของเจ้าของกิจการผู้บริโภคมีตัวเลือกลดลง ที่สำคัญเรากังวลว่า การควบรวมครั้งนี้ เป็นการควบรวมของบริษัทแม่ แต่ผู้ถือใบอนุญาตเป็นบริษัทลูก ซึ่งไม่ได้ควบรวม 1 มิถุนายนประเทศไทยจะมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ถามว่า บริษัทที่จะควบรวมกันจะมีมาตรการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหลุดรอดไปได้อย่างไร” นายศรัณย์ กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight