เนทติเซนท์ คาด 5G ดันเม็ดเงินลงทุนซอฟต์แวร์สะพัด 4 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมลงทุนรองรับการเชื่อมโยงไอโอที ชี้ธุรกิจอุตสาหกรรมไอทีซีเคียวริตี้ คว้าอานิสงส์ เติบโตตาม หวังสกัดแฮกเกอร์ แนะเร่งวางแผนเชิงรุกสร้างโอกาสทางธุรกิจจาก 5G ก่อนถูกดิสรัปชั่น
นายกฤษดา สาธุกิจชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด (Netizen) ที่ปรึกษาการวางระบบซอฟต์แวร์การบริหารจัดการทางธุรกิจ (ERP) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการประมูล 5G ผ่านไป นับจากนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังใหม่ของประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ก้าวหน้า ช่วยยกระดับเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้ดียิ่งขึ้นเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในประเทศ
ทั้งนี้ เนทติเซนท์ มองว่าสภาวะอีโคซิสเต็มใหม่จากการเกิด 5G จะส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ไม่ต่ำว่า 4 แสนล้านบาทภายในระยะเวลา 5 ปี และยังจะเกิดปรากฏการณ์การลงทุนทางด้านอุปกรณ์ที่เชื่อโยงกับอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things : IoT) หรือ ไอโอที ดีไวซ์ เนื่องจากระบบ 5G สามารถรองรับการใช้งาน 1 ล้านเครื่อง ต่อตารางกิโลเมตร เมื่อเทียบกับ 4G ที่รองรับเพียง 1 แสนเครื่องต่อตารางกิโลเมตร โดยไม่ได้จำกัดเพียงโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องจักร รถยนต์ อุปกรณ์เซ็นเซอร์ และเครื่องมือทางการแพทย์
นอกจากนี้ผลวิจัยของ Forbes ยังระบุว่าในปี 2567 จะมีไอโอที ดีไวซ์ทั่วโลกที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากถึง 2.2 หมื่นล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีเพียง 7,000 ล้านเครื่องทำให้เกิดปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งให้องค์กรหันมาทำ บิ๊ก ดาต้า อนาไลติกส์ เพื่อใช้วิเคราะห์หาโมเดลธุรกิจ รวมทั้งกระตุ้นให้องค์กรตระหนักถึงการลงทุนกับระบบ ERP แบบ ดิจิทัลคอร์ (Digital Core) ที่รองรับและจัดเก็บข้อมูลมหาศาลมาใช้สร้างมูลค่าให้กับธุรกิจอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญขององค์กรขนาดใหญ่ในการปรับตัวครั้งนี้ จำเป็นต้องเพิ่มความรวดเร็ว และความแม่นยำในการตัดสินใจ และกล้าคิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเกิด ซึ่งองค์กรทั้งขนาดกลางและใหญ่นั้น การวางแผนตั้งรับเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ แต่จะต้องลุกขึ้นมาปรับกลยุทธ์ธุรกิจเป็นฝ่ายรุก หากยังใช้กระบวนการตัดสินใจแบบเดิมอยู่ อาจทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกดิสรัปชั่น
ด้านนายเสรี สาธุกิจชัย ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากการประมูล 5G องค์กรต่างๆ จะเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ คลาวด์ คอมพิวดิ้ง แต่ปัจจุบันมีองค์กรเพียง 10% ที่เปลี่ยนสู่คลาวด์ คอมพิวดิ้ง แต่เชื่อว่าในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อมีใช้งาน 5G จะเกิดปริมาณข้อมูลมหาศาล กระตุ้นให้องค์กรย้ายไปใช้ระบบคลาวด์ คอมพิวดิ้ง มากขึ้น เพื่อนำข้อมูลมหาศาลมาวิเคราะห์ให้เห็นโอกาสการสร้าง “New Revenue Stream” หรือสายธารใหม่แห่งรายได้ที่แตกต่างจากการทำธุรกิจในอดีต
“ที่น่าจับตาคือ Data and Network Security เพราะเมื่อระบบต่างๆมีความรวดเร็วมากขึ้น ก็จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลของแฮ็คเกอร์สามารถทำได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นอุตสาหกรรม ความปลอดภัย หรือ Security จะกลายเป็นอีกอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างมากจากการเกิด 5G เช่น ระบบ Anti Virus และ Data Storage Security”นายเสรีกล่าว
ขณะเดียวกันคาดว่าใน 2-3 ปีเทคโนโลยี 5G จะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจในวงกว้าง เนื่องจากความเร็วและการส่งผ่านของข้อมูลที่มีความเสถียรของเทคโนโลยีจะทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ และอาจจะส่งผลเกิดการดิสรัปบางธุรกิจออกไป แต่ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้ามาของโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และส่งผลต่อธุรกิจในทุกๆ ด้าน
ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องเร่งศึกษา และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้รองรับกับสภาพแวดล้อมของ 5G ที่ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงโครงข่าย แต่ 5G จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอีโคซิสเต็มของผู้คนใหม่ทั้งหมด นับเป็นคลื่นดิจิทัลดริสรัปชั่นลูกใหม่ที่ทุกธุรกิจจะต้องรับมือ และต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว