Digital Economy

‘แจ็ค หม่า’ ลุยพัฒนารถไร้คนขับ

fig 19 04 2018 09 58 41

รัฐบาลไทย – อาลีบาบากรุ๊ป ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อส่งเสริมการลงทุน และขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 แล้ว  “แจ็ค หม่า” ยาหอมประเทศไทย ชี้มีความโดดเด่นด้านบริการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยากที่โรบอทจะเข้ามาแทนที่ในอนาคตอันใกล้ รับพัฒนารถอัตโนมัติไร้คนขับจริง ชี้เป็นเครื่องมือสำคัญของอาลีบาบาในอนาคต

นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งกลุ่มอาลีบาบา กล่าวบนเวทีก่อนการเซ็นสัญญาความร่วมมือครั้งนี้ว่า เขารู้สึกยินดีทุกครั้งที่มาประเทศไทย และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้เกิดความร่วมมือครั้งนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก

พร้อมกันนั้นยังเผยด้วยว่า สิ่งที่เป็นความประทับใจคือรอยยิ้มแบบไทย หรือ Thai Smile และได้มีการนำแรงบันดาลใจนั้น กลับไปเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโลโก้ของอาลีบาบาด้วย

สำหรับการลงนามในบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ อาลีบาบามองว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากจีนกำลังก้าวสู่การเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยการขยายตัวของกำลังซื้อของคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากกว่า 300 ล้านคนในปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายเปิดการค้าเสรีของจีน จึงเป็นโอกาสของประเทศต่าง ๆ จะใช้โอกาสนี้ในการส่งสินค้าไปยังตลาดจีน ที่สำคัญคือผลิตผลทางการเกษตรของไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ ทุเรียน หรือผลไม้ต่าง ๆ ล้วนเป็นสินค้าที่ชาวจีนชื่นชอบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้แสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกับอาลีบาบาโดยทำหนังสือแสดงเจตจำนงร่วมกันเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2559 และพิธีการในวันนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการประกาศความร่วมมือดังกล่าว

อาลีบาบาจะลงทุนสร้างดิจิทัลฮับ (Smart Digital Hub) ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งจะกลายเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเชื่อมโยง SMEs ไทยในทุกระดับ รวมถึงกลุ่ม OTOP และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ ให้สามารถเข้าถึงตลาดจีนและตลาดโลกได้ง่ายยิ่งขึ้น และจะขยายไปยังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ในขณะเดียวกันยังจะเป็นแรงเสริมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยด้วย

แจ็ค หม่ายังได้เน้นย้ำว่า เจตจำนงของการมาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อเจรจาด้านการซื้อขาย แต่มาเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีของไทยให้มีศักยภาพ และคาดหวังว่าการร่วมมือครั้งนี้จะสร้างอนาคตใหม่ รวมถึงสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ประชาชนของทั้งสองประเทศได้ประโยชน์สูงสุด

“การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก ทำให้ยุโรปเจริญก้าวหน้า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อมา เป็นโอกาสของอเมริกา แต่เราเชื่อว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งนี้จะเป็นโอกาสของเอเชีย ที่ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจร่วมกันแต่เป็นการสร้างอนาคตร่วมกัน ประเทศไทยยังไม่น่าเป็นห่วงมากนักสำหรับการเข้ามาแย่งงานของหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นด้านการบริการ หรือเซอร์วิสมายด์ แต่โลกาภิวัฒน์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดได้ เราจึงเชื่อว่าโลกาภิวัฒน์จะเป็นประโยชน์ต่อเอสเอ็มอี ที่ไม่ใช่แค่ขายข้าว ขายทุเรียน แต่หมายถึงอนาคตของประเทศด้วย”

รถอัตโนมัติ ตัวแปรสำคัญของอาลีบาบา

แจ็ค หม่า ขณะตอบคำถามสื่อมวลชน
แจ็ค หม่า ขณะตอบคำถามสื่อมวลชน

เขายังยอมรับแผนการพัฒนารถอัตโนมัติไร้คนขับนั้นเป็นเรื่องจริง แต่อาลีบาบามองการพัฒนารถอัตโนมัติในมุมที่ต่างออกไป นั่นคือ การมองว่า ในอนาคต รถอัตโนมัตินี้จะกลายเป็นเพื่อนของมนุษย์ และผู้คนในอนาคตจะเดินทางกันมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“รุ่นพ่อแม่เราทำงานทุกวันและพวกท่านก็บอกว่าตนเองยุ่งมาก พอมารุ่นเรา ทำงาน 5 วัน ๆ ละ 8 ชั่วโมง แต่เราก็ยังบอกว่างานเรายุ่งมาก ผมเชื่อว่าคนยุคต่อไป พวกเขาอาจทำงานวันละ 3 – 4 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน แต่พวกเขาก็ยังบอกว่าตัวเองนั้นยุ่งมาก ยุ่งเรื่องอะไร ก็ยุ่งกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ รอบโลก ดังนั้น รถยนต์จะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางคนสำคัญของมนุษย์ในอนาคต และเราต้องการพัฒนารถยนต์ที่เป็นมิตรมากพอที่จะรองรับกับอนาคตนั้น ๆ ได้”

โดยแผนการพัฒนารถอัตโนมัติไร้คนขับของอาลีบาบานั้น เริ่มได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเมื่อไม่นานมานี้ เมื่ออาลีบาบาได้มีการประกาศรับสมัครนักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์จำนวนมากเพื่อเข้ามาทำงานในแผนกดังกล่าว

สำหรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบาจะกลายเป็นการผูกขาดทางการค้าหรือไม่นั้น แจ็ค หม่า ตอบว่า “ไม่ว่าคุณจะทำอะไรในโลก ก็จะมีคนสงสัยในการกระทำของคุณ ตั้งคำถามกับคุณ แต่อาลีบาบาเราไม่สนใจกับการตั้งข้อสงสัยเหล่านั้น และเราจะเดินหน้าทำต่อไป” และเขาได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า คนเราเกิดมาบนโลกนี้ไม่ใช่เพื่อทำงาน แต่เกิดมาเพื่อสัมผัสความสุข และสร้างความสุขตอบแทนให้กับโลก กับคนรอบข้าง

สำหรับความร่วมมือในโครงการหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ประกอบด้วย

โครงการจัดตั้งศูนย์ Smart Digital Hub ใน พื้นที่อีอีซีเพื่อส่งเสริมการค้ากับจีนและกลุ่ม CLMV

โครงการลงทุนจัดตั้งศูนย์ Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC นี้จะอาศัยเทคโนโลยีระดับโลกของอาลีบาบาในด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์ ผ่าน ไช่เหนี่ยว (Cainiao Network) ซึ่งเป็นธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของอาลีบาบา เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และไปยังที่อื่นทั่วโลก มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้มีการประสานกับกรมศุลกากรในการยกระดับพิธีการทางศุลกากรให้เป็นระบบดิจิทัลด้วย ซึ่งการตั้งศูนย์ Smart Digital Hub นี้ จะเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมวิจัยพัฒนาดิจิทัล ซึ่งสำนักงาน EEC จะเชื่อมประสาน Smart Digital Hub กับ เขตนวัตกรรมดิจิทัล หรือดิจิทัลพาร์ค (EECd) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ด้วย

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้าง Smart Digital Hub ได้ภายในปี พ.ศ. 2561 และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2562 ต่อไป

โครงการร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการ SME ไทย

อาลีบาบาได้เสนอให้วิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS) ซึ่งเป็นสถาบันพัฒนาบุคลากรของอาลีบาบา ที่ตั้งอยู่ที่เมืองหางโจว ร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซของ SMEs ไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศ รวมถึง SMEs ในชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย โดยเน้นให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจ ได้เรียนรู้และเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีไทยให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ และเข้าถึงตลาดจีนที่มีผู้บริโภคอยู่ไม่น้อยกว่า 500 ล้านคน รวมถึงตลาดในภูมิภาคและตลาดสากลได้ตามลำดับ (Regional and Global Value Chain) โดยอาลีบาบาจะจัดทีมงานร่วมลงพื้นที่กับทีมงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยเครือข่าย ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC) ในระดับภาคและจังหวัดของกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงหน่วยงานภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ทั่วประเทศ

โครงการอบรมพัฒนาดาวเด่นด้านดิจิทัล (Digital Talent)

นอกจากการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ผ่านอีคอมเมิร์ซแล้ว Alibaba Business School ยังจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนากลุ่มคนเก่งหรือดาวเด่นด้านดิจิทัล (Digital Talent) ในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาหลายหลักสูตร โดยเปิดโอกาส ให้นักศึกษา นักวิจัย อาจารย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐไปร่วมเข้าโครงการฝึกอบรมพัฒนาในด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งสร้างเครือข่าย (Networking) กับดาวเด่นหรือ Talents ทั่วโลกที่ประเทศจีน

การเปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com

Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com เป็นเว็บซื้อขายออนไลน์ระดับโลกที่เน้นร้านค้าแบรนด์ชั้นนำหรือร้านค้าตัวแทนที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายผลิตผลทางการเกษตรเริ่มต้นจากข้าว และขยายผลไปถึงผลไม้ต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนเป็นอย่างยิ่ง กระทรวงพาณิชย์และอาลีบาบาจะร่วมกันผลักดันการส่งออกข้าวไทยและผลิตผลทางการเกษตรของไทย โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกหรือ Insight ในเรื่องตลาดผู้บริโภคที่อาลีบาบามีความเชี่ยวชาญ

โครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวดิจิทัล

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะร่วมมือกับอาลีบาบาและฟลิกกี้ (Fliggy) บริษัทด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของจีน ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวดิจิทัลและผู้ประกอบการการท่องเที่ยวรายย่อยในไทย โดย Fliggy คู่ร่วมลงนามกับ ททท. จะใช้ประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดจัดทำ Thailand Tourism Platform ให้กับสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกในด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น คู่มือไกด์ออนไลน์ ระบบจำหน่ายตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ โดย Fliggy และ Ant Financial ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการระบบขำระเงิน Alipay ในเครือของอาลีบาบาอยู่ในระหว่างการเจรจากับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลแบบครบวงจรต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย เริ่มตั้งแต่กระบวนการทางวีซ่า บริการหลังเดินทางแบบดิจิทัล ด้วยการคืนเงินภาษีนักท่องเที่ยวผ่านระบบ Alipay ซึ่งความร่วมมือกันในด้านการท่องเที่ยวนี้ คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีน และยังช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยได้มากยิ่งขึ้น

Avatar photo