แม้จะจบไปแล้วสำหรับเวที Global Business Dialogue 2018 ที่จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และกระทรวงการต่างประเทศ แต่สิ่งที่ตามมาจากงานดังกล่าวก็คือผลการวิจัยที่มีการเปิดเผยภายในงานว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ และจะเป็น Game Changer โดยเฉพาะด้าน Smart City, Smart Agriculture และการ Decentralize ระบบการจัดการต่างๆ
นายธรรมศักดิ์ จิตติมาพร รองประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญหาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังถูกจับตาในฐานะ Game Changer ที่จะเข้ามาสร้างความยั่งยืนต่อโลกอนาคต จากงานวิจัยล่าสุดที่นำเสนอโดย PriceWaterHouseCoopers (PwC) ในหัวข้อ AI for Sustainability ฉายภาพให้เห็นว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับเอกชน ชุมชนเมือง ประเทศ และโลก
โดยในผลการวิจัยดังกล่าวได้แตกประเด็นปัญหาของโลกที่สามารถนำ AI เข้ามาแก้ปัญหาออกเป็น 6 ข้อด้วยกัน
Climate Change หลายปีที่ผ่านมาเกิดปัญหามากขึ้นอย่างมีนัย หลายประเทศจึงมีการนำ AI เข้ามาทำ Smart Transportation เช่น ประเทศนอร์เวย์กำลังผลักดันให้มีการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการนำ AI มาคาดการณ์ระบบพลังงานว่ามีปริมาณการใช้เท่าไหร่ หรือ Google ใช้ระบบ GPS เข้ามาวิเคราะห์ความหนาแน่นทางจราจร เพื่อแนะนำเส้นทางที่ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง รวมถึงการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนที่จะตก เพื่อภาครัฐจะได้เตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
Biodiversity and Conservation จากการวิจัยหลายแห่งพบว่า ไม่กี่ร้อยปีมานี้พืชพันธุ์ และสัตว์บางประเภทสูญพันธุ์ไปจากโลกมากมาย AI จะถูกนำมามอนิเตอร์ผลกระทบที่เกิดจาก Climate Change อาทิ ภัยแล้ง และไฟป่า
Healthy Oceans จำนวนถุงพลาสติกที่ถูกทิ้งลงแหล่งน้ำ และทะเล ทำให้สัตว์ทะเลต้องทนทุกข์ทรมาน และตายจากการกินพลาสติกเข้าไป ประกอบกับโลกร้อนส่งผลให้สารเคมีในทะเลเปลี่ยนไป เกิดความไม่สมดุลทางธรรมชาติ ที่ผ่านมานาซ่าใช้เทคโนโลยีดาวเทียมมาช่วยในการพยากรณ์แพลงตอน หรือชีววิทยาทางทะเลว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และยังใช้ AI ในการมอนิเตอร์ลักษณะ Global Fishing Watch ว่าจุดไหนมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทำประมงแบบไม่ยั่งยืน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการประมงเกินกว่ากำลังทะเลจะทดแทนได้ (Over Fishing)
Water Security ที่ผ่านมาเกิดความไม่สมดุลของน้ำในพื้นที่ต่างๆ บางแห่งเกิดอุทกภัย บางแห่งเกิดภัยแล้ง ดังนั้น AI จะเป็นตัวช่วยพยากรณ์การไหลของน้ำ (Water Flow) วิเคราะห์ปริมาณน้ำจืดในแหล่งที่ต้องใช้ในการผลิตน้ำ หรือแม้แต่การสร้างโซลูชั่นให้กับอุตสาหกรรมผลิตน้ำประปา ในการวิเคราะห์ว่าควรจะปล่อยน้ำขนาดไหน อย่างไรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
Clean Air เมืองใหญ่กำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ผ่านมามีการจับมือกันระหว่าง ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และแอร์วิชวล ในกรุงปักกิ่ง ด้วยการนำ AI มาทำ Early Warning ฝุ่นละอองในอากาศ ผ่านแอพพลิเคชั่นวัดคุณภาพของอากาศ รวมถึงวิเคราะห์สาเหตุข้อมูลมลพิษในอากาศที่สูงขึ้น หรือลดลงว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
Water and Disaster Resilience จากการวิจัยพบว่าโลกเรามีความถี่ในการเกิดภัยพิบัติภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา ในอินโดนีเซียเริ่มมีการนำ AI ผ่านระบบเปิด (Open Source) เพื่อพยากรณ์ความเป็นไป หรือโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างในภาคการเกษตร ที่ใช้ AI พยากรณ์อากาศ หากฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำ เพื่อลดต้นทุน และทรัพยากร
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 6 ปัญหาที่กล่าวมา เป็นปัญหาที่มนุษย์พยายามแก้ไขมาอย่างยาวนานแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกัน AI ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงเชิงสังคม ที่อาจจะก่อให้เกิดความแตกแยก คนตกงาน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องสื่อสาร และมีแผนรองรับที่ดี รวมถึงด้านจริยธรรม ที่มีหลายคนนำเสนอว่าควรฝังจุดตัดทางจริยธรรมเข้าไปใน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งควรเพิ่มความเข้มข้นให้มากขึ้น และต้องทำให้เกิดความโปร่งใส พร้อมเตรียมแผนสำหรับการแก้ปัญหาหากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ขึ้น