ต้องบอกว่า ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาในเวลานี้กำลังประสบปัญหาไม่น้อยกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินมาอยู่บนกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ Mobile Wallet ในขณะที่ประเทศคู่ปรับทางเศรษฐกิจอย่างจีนแผ่นดินใหญ่นั้นก้าวไปไกลกว่ามากแล้ว
โดยข้อมูลจากจูนิเปอร์รีเสิร์ชเผยว่า ในปี 2562 จะมีประชากรโลกราว 2.1 พันล้านคนหันมาใช้กระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ในการชำระค่าสินค้าและโอนเงินระหว่างกัน จากเดิมที่มีอยู่ 1.6 พันล้านคนในปี 2560
สำหรับผู้ให้บริการกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ที่น่าจับตาคือ เพย์พาล (PayPal) อาลีเพย์ (Alipay) และวีแชทเพย์ (WeChat Pay) ส่วนบริการน้องใหม่อย่างแอปเปิลเพย์ (Apple Pay) ซัมซุงเพย์ (Samsung Pay) และกูเกิลเพย์ (Google Pay) นั้น ก็ถือว่าเข้ามาสร้างสีสันให้ได้เช่นกัน
ข้อจำกัดและความแตกต่างของแต่ละตลาดก็มีส่วนสำคัญต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้กระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดที่สะดวกสบายและได้รับความนิยมอย่างมากในจีนนั้นถูกมองว่ามีความปลอดภัยต่ำ ส่วนเทคโนโลยี NFC (Near-field Communications) ที่ถูกจุดพลุว่ามีความปลอดภัยเหนือกว่าโดยประเทศตะวันตกนั้น ก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่รองรับจึงจะสามารถให้บริการได้
การรอให้มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่รองรับได้นี้เองทำให้การจ่ายเงินผ่าน NFC เติบโตได้ไม่เร็วเท่าที่ควร โดยจากการสำรวจของจูปิเตอร์พบว่า ในหมู่ชาวอเมริกันที่มีสมาร์ทโฟน 250 ล้านคนนั้น มีคนที่จ่ายเงินแบบ Contactless นี้แค่ 25.1% เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หากผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การชำระเงินของค่ายตัวเองออกไปได้อย่างเหมาะสม และตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ก็มีสิทธิชนะในตลาดนี้ได้สูงเช่นกัน
