Krungthai COMPASS วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจบริการไอที ปี 2568-2569 คาด AI ดันความต้องการใช้คลาด์ ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจเพิ่ม พร้อมเผยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเตรียมรับมือ
รายได้ของธุรกิจบริการไอที ประกอบด้วยรายได้จากผู้ประกอบการใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจัดจำหน่าย 2. ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ 3. System Integrator (SI) ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการเกี่ยวการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ และ IT Solution ตามความต้องการของลูกค้า
ในปี 2568-2569 รายได้รวมของธุรกิจบริการไอที คาดว่าจะขยายตัว 9.7% และ 9.3% ตามลำดับ ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นราว 10.2% เมื่อพิจารณารายได้รวมของธุรกิจบริการไอทีในปี 2566 จะพบว่า รายได้จากธุรกิจ System Integrator (SI) ที่ให้บริการติดดั้งและปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ และ IT Solution ตามความต้องการของลูกค้า มีสัดส่วนราว 60% และการจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์มีสัดส่วนราว 40%
AI หนุนใช้ Cloud – AI Solution เพิ่ม
นอกจากนี้ ในปี 2568-2569 คาดว่ารายได้รวมของธุรกิจ SI จะขยายตัว 11.3% และ 10.5% ตามลำดับ ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นราว 12.4% จากภาคธุรกิจที่มีแนวโน้ม
ที่จะใช้บริการระบบ Public Cloud มากขึ้นเพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการใช้บริการ Cloud และ AI Solution มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนของไทยมีแนวโน้มที่จะใช้บริการระบบ Cloud หลายประเภทพร้อมกันในระบบเดียวมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ จึงส่งผลให้ความต้องการใช้ระบบ Cybersecurity ประเภท Cloud Security และ Identity and access management เพื่อป้องกันจากการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ของการตั้งค่าระบบใน Cloud เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งส่งผลดีต่อ SI ที่ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยไซเบอร์
ในส่วนของยอดขายซอฟต์แวร์ในปี 2568-69 คาดว่าจะขยายตัว 6.9% และ 7.1% ตามลำดับ ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 6.6% จากภาครัฐและเอกชนที่มีแนวโน้มที่จะ
ใช้ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจ เช่น ERP และ MES มากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และเพิ่มประสิทธภาพในการผลิตและจัดจำหนาย
สินค้า รวมทั้งแนวโนมที่จะใช้บริการซอฟต์แวร์ IT Management เช่น Storage Software มากขึ้น เพื่อรองรับการใช้บริการ Public Cloud ที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนสินค้าและบริการ และแรงงานเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจบริการไอที มีสัดส่วนราว 49% และ 39%ตามลำดับ โดยอัตราค่าบริการของธุรกิจส่วนใหญ่ถูกกำหนดด้วยต้นทุนในการให้บริการทั้งหมด บวกส่วนต่างกำไร ซึ่งขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโครงการ
ทั้งนี้ ในปี 2568-2569 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน คาดว่าจะสูงกว่าปี 2567 เล็กน้อย เพราะผู้ประกอบการในธุรกิจนี้มีโอกาสได้รับประโยชน์จากโครงการ AI Transformation ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการ Virtual Bank AI Transformation และ Cloud Solution ซึ่งมีอัตรากำไรสูง มากกว่าโครงการจัดซื้อซอฟต์แวร์ ที่มีอัตรากำไรต่ำ จึงช่วยหนุนอัตรากำไรของธุรกิจนี้
อย่างไรก็ดี แนวโน้มธุรกิจบริการไอทีมีกรแข่งขันเข้มข้นขึ้น หลังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในธุรกิจดังกล่าวมากขึ้น สะท้อนได้จากจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8.8% ในช่วงปี 2562-2566 นอกจากนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย เช่น PTT กลุุ่มอลิอันซ์ กลุ่มทีซีซี โตโยต้า และซีพีเอฟ ได้จัดตั้งบริษัทที่ให้บริการด้าน IT Solution เพื่อให้บริการแก่บริษัทในเครือ จึงทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้มีโอกาสที่จะได้รับโครงการด้านระบบไอทีจากบริษัทเหล่านี้น้อยลง
แนวโน้มธุรกิจบริการไอที เผชิยความเสี่ยงอื่น ๆ
1. ความเสี่ยงจากการขาดแคลนบุคลากรด้านไอที
ปัจจุบันไทยมีผู้จบการศึกษาที่ทำงานด้านไอทีน้อยกว่า 3,500 คน/ปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการบุคลากรด้านไอที ที่สูงถึง 30,742 ตำแหน่ง จึงทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านไอทีในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถส่งมอบงานที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ จนส่งผลกระทบเชิงลบต่อชื่อเสียงและผลประกอบการของบริษัท
2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ดังนั้น หาก
ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อตอบสนองความต้องของลูกค้า อาจส่งผลให้บริษัทสูญเสียฐานลูกค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัท
3. ความเสี่ยงจากการถูกเพิกถอนจากการเป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ชั้นนำ
หากผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ถูกเพิกถอนจากตำแหน่งดังกล่าว อาจส่งผลให้ต้นทุนการให้บริการของบริษัทสูงขี้น เพราะต้องซื้อสิทธิการใช้งานแพลตฟอร์ม
จากตัวแทนจำหน่ายอื่น ที่มีราคาที่สูงกว่า จึงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันและผลประกอบการของบริษัท
ปัจจบันผู้พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลก เช่น SAP Oracle และ Microsoft มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิป็นศูนย์ หรือเป็นลบ ภายในปี 2573 และ 2593 จึงมีแนวโน้มที่จะออกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรายงานและวิเคราะห์ข้อมูลด้าน ESG มากขึ้นเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปฎิบัติตาม
กฎระเบียบดานสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นมากขี้นในหลายประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะให้ซอฟต์แวร์ที่บริษัทให้บริการอยู่ใน Data Center ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการไอทีของไทยควรที่จะเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการ Data Center ที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม RE 100 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 100% เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเลือกใช้บริการ Data Center จากผู้ให้บริการที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ให้กับลูกค้า รวมทั้งมีแผนขยายบริการซ่อมบำรงรักษาผลิตภัณฑของบริษัท ดังนั้น ผู้ประกอบการของไทยควรเตรียมพร้อมในการให้บริการซ่อมบำรุงหลังการขาย
เพื่อให้ยังคงได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายต่อไป
บทความโดย พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- Krungthai COMPASS ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จีดีพีโต 2.5%
- จับตามูลค่าการใช้จ่ายไอทีทั่วโลกปีนี้ คาดเติบโต 9.8% แตะ 5.61 ล้านล้านดอลลาร์
- บิ๊กโปรเจกต์ ‘TikTok’ ปักหมุดลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล-AI ในไทย 1.2 แสนล้าน
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์ : https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook : https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X : https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram : https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg