ถ้าเชื่อว่า รากเหง้าของความทุกข์ คือ ความไม่รู้ การช่วยให้คนอื่นมีความรู้ จึงเท่ากับเป็นการช่วยดับทุกข์ และเมื่อเห็นคนอื่นหมดทุกข์ เราก็จะมีความสุขไปด้วย
หนึ่งในความสุขที่เรา ในฐานะผู้นำจะทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้นำครอบครัว ผู้นำในกลุ่มเพื่อน หรือผู้นำในองค์กร คือ ความสุขที่ได้ช่วยให้คนอื่นพ้นจากความไม่รู้ ดังนั้น
ถ้าเรามีความรู้ และมีประสบการณ์ในสิ่งที่คนอื่นไม่มี เราควรถ่ายทอดให้คนอื่นได้รับรู้
แต่การจะสร้างความสุขด้วยการให้ความรู้แก่คนอื่นนั้น จะต้องมีทัศคนติ 3 ข้อน
- ต้องเชื่อว่าความรู้ที่เรามีจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
เราต้องมั่นใจในความรู้และประสบการณ์ของเรา อย่าคิดว่าความรู้แค่นี้จะไปแนะนำใครได้ หรืออย่าคิดว่าเราอายุน้อยกว่าใครจะฟัง อายุไม่เกี่ยว มันขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญ ถ้าเรามีมากกว่าก็ควรช่วยเหลือด้วยการถ่ายทอดให้เขารู้
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันสมัย และหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
- ต้องอยากเห็นความสำเร็จของคนอื่น
ถ้าเรามีความรู้สึกแบบนี้ เราจะถ่ายทอดความรู้ และให้คำแนะนำด้วยความกระตือรือร้น กล้าแสดงความคิดเห็น ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย สร้างบรรยากาศที่เปิดเผยด้วยข้อเท็จจริง และข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่แนะนำเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
- ต้องเชื่อว่าอุปสรรคที่จะเจอคือความท้าทายที่อยากเอาชนะให้ได้
อย่ากลัวที่จะเจอกับปัญหาในระหว่างการให้ความรู้ ต้องคิดว่ายังไงก็ต้องเจออยู่แล้ว ดังนั้น ควรเอาพลังงานไปคิดแก้ปัญหา ดีกว่าไปนั่งกลัวปัญหา เพราะถ้าแก้ปัญหาได้
ก็จะยิ่งมั่นใจในวิธีการของเรามากขึ้น
ต้องคิดว่า การได้มีโอกาสแก้ปัญหา คือความท้าทายที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มี ให้คิดว่าตอนนี้เราเหมือนนักปีนเขา เป้าหมายของเราอยู่บนยอดเขา การขึ้นเขามันไม่ง่ายเหมือนเดินบนถนน ดังนั้นเราต้องรู้อยู่แล้วว่าจะเจออะไรบ้าง
ถ้าเราเป็นคนที่ใจไม่สู้ พอไต่เขาขึ้นไปนิดเดียว เจอทางชันก็ถอยแล้ว แบบนี้เค้าเรียกว่า “พวกใจเสาะ” เป็นพวกไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ขาดความทะเยอทะยาน ขาดแรงจูงใจที่จะทำภารกิจให้ประสบความสำเร็จ
แต่ก็จะมีนักปีนเขาบางประเภท ที่ปีนขึ้นไปได้สักพักนึงแล้ว แต่พอเริ่มเหนื่อยเริ่มล้า เริ่มหิว ก็จะเริ่มถอดใจ จริง ๆ แล้ว นักปีนเขากลุ่มนี้แซงพวกกลุ่มแรกไปแล้ว แต่ไม่ไปต่อ เพราะเมื่อเจออุปสรรคที่ยากขึ้น ก็เริ่มท้อเริ่มมองหาพื้นที่ราบ เพื่อที่จะหยุดตั้งแคมป์ แล้วก็พอใจที่จะชมวิวอยู่ตรงนั้น พวกนี้คือ “พวกไปไม่สุด”
ส่วนนักปีนเขากลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่สนุกกับความท้าทายระหว่างทาง มองว่ายิ่งยากเท่าไร ยิ่งภูมิใจมากเท่านั้น คนกลุ่มนี้จะเดินหน้าแก้ปัญหาไปทีละขั้น จนถึงยอดเขา และได้มองเห็นวิวที่สวยที่สุด ซึ่งคนกลุ่มอื่นไม่มีโอกาสได้เห็น คนกลุ่มนี้เราเรียกว่า “นักปีนเขาตัวจริง” ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง มีแรงจูงใจในตัวเอง และมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ทัศนคติ 3 ข้อนี้แหละครับ ที่จะทำให้เราถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ไม่รู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากใครกำลังมองหาวิธีการสร้างความสุขให้กับตัวเองอยู่ “การหาความสุขด้วยการให้ความรู้” เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม