COLUMNISTS

เลี้ยงลูกอย่างไรให้สมองทำงานดี

997

toys 3200969 1280

สัญชาตญาณของพ่อแม่ย่อมมุ่งหวังให้ลูกมี “สติปัญญาดี” เพื่อเอื้อต่อการเอาตัวรอดได้ในสังคม สิ่งที่พ่อแม่ ปรารถนาเหล่านี้มีศูนย์รวมอยู่ที่ “สมอง” แท้จริงแล้ว สมองไม่ได้ทำหน้าที่เพียงการคิด ความจำ การควบคุมคำ สั่งในร่างกายเท่านั้นแต่สมองยังเป็นที่รวมของมโนสำนึก ศีลธรรม ความเจริญทั้งทางจิตใจ และความคิดด้วย

การเลี้ยงลูกให้สมองทำงานได้ดีนั้นจึงไม่ใช่การเน้นแต่ความฉลาดหรือความสามารถในการคิดเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงจิตใจ และลักษณะนิสัยที่ดีด้วย เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นเป็นทั้งคนดี คนเก่ง และมีความ สุขแตกต่างจากเด็กอีกคนหนึ่งได้นั้นอยู่ที่วิธีการคิด และมีลักษณะนิสัยที่ดี ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นที่ “ครอบครัว” ค่ะ

วันนี้ ครูปุ๊กได้สรุป “20 วิธีการเลี้ยงดูให้สมองลูกทำงานดี” มาฝากคุณพ่อ คุณแม่เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกับ ลูก ให้สมองของลูกทำงานอย่างเต็มศักยภาพด้วยวิธีการที่เหมาะสมในวัยที่ลูกต้องการคุณมากที่สุด และคุณ สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเองค่ะ

1. สร้างสุขอนามัยที่ดีให้ลูก

– เลือกอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด
– ดื่มน้ำให้มาก
– นอนหลับให้เพียงพอ

“สมอง” ประกอบด้วยน้ำถึง 85% และต้องการออกซิเจนมากถึง 20% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายจึงจะ สามารถทำงานได้ดี ดังนั้น น้ำ และออกซิเจนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อสมอง พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกดื่มน้ำให้มาก นอกจากนั้น ควรปลูกฝังนิสัยการรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด และฝึกให้ลูกเข้านอนตรงเวลา และนอนหลับไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เมื่อสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง ลูกก็พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้หลากหลาย

สุขอนามัยที่ดีจึงเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ค่ะ

child 3194977 1280

2. กระตุ้นประสาทสัมผัสผ่านการลงมือทำ

เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบกับประสาทสัมผัสของลูก จะเกิดเป็นกระแสประสาทวิ่งไปสู่สมอง สมองจะรับรู้ข้อมูล และ ส่งข้อมูลไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้องโดยผ่านเส้นใยสมองที่ทำหน้าที่รับ และส่งข้อมูล เมื่อลูกได้รับการกระตุ้น ประสาทสัมผัสด้วยวิธีการที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในปริมาณที่พอเหมาะ นัก วิทยาศาสตร์เชื่อว่า สมองลูกมีเส้นใยสมอง และจุดเชื่อมต่อมากเท่าไร ลูกก็จะยิ่งฉลาด และมีความสามารถสูง ขึ้นเท่านั้น

ปริมาณจุดเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทเหล่านี้เป็นรากฐานของการรู้คิด และทำความเข้าใจข้อมูลต่างๆทั้งใน ห้องเรียน และชีวิตประจำวันของลูกในระยะยาวค่ะ

3. เล่านิทาน จัดหนังสือที่หลากหลายให้ลูก

“นิทาน” เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็ก อะไรก็เป็นจริงได้ในนิทาน ทำให้เด็กได้รับการส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ ต่อยอดจินตนาการ ฝึกทักษะการฟัง ยิ่งเป็นนิทานคำกลอนด้วยแล้วเด็กเล็กจะชอบฟังเป็นพิเศษ เพราะมีเสียงคล้องจองกันสนุกสนาน นิทานยังช่วยสร้างคลังคำอันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ภาษาให้แก่เด็ก นอกจากนั้น คุณพ่อ คุณแม่ยังสามารถปลูกฝังจริยธรรมผ่านนิทานได้ด้วย

การโอบกอด สัมผัสที่อบอุ่น และแน่นแฟ้น เป็นการยืนยันให้ลูกรู้ว่าเขามีค่ากับพ่อแม่มากเพียงใด และเขามีที่พึ่ง เป็นพ่อแม่เสมอไม่ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม

4. ทำงานศิลปะ

ศิลปะคือการเล่นที่มีเส้น และสีเป็นพื้นฐาน การทำงานศิลปะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้เด็กเสมอ ในเด็กอายุ 2 – 3 ปีควรเริ่มเล่นสีจากการระบายสีน้ำแบบ Wet on Wet เพราะ เด็กจะรู้สึกสงบจากภายในเมื่อได้เฝ้าดูสีต่างๆที่ ไหลรวมกัน แล้วจึงเขยิบเปลี่ยนเป็นสีเทียนแท่งอ้วนๆ และสีไม้แท่งใหญ่ที่จับถนัดมือ การฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก จะส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น การทำงานศิลปะยังเป็นการสร้างสมาธิ ความจดจ่อ มือตาสัมพันธ์ และทำให้ เด็กเรียนรู้ความสุขที่มาจากภายในตัวเองด้วยค่ะ

5. ทำกิจกรรมดนตรี และการเคลื่อนไหว

งานวิจัยพบว่าเสียงดนตรีสามารถเพิ่มความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลได้ นอกจากนั้น ดนตรียังใช้พัฒนาสมองซีกขวา ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองภาพรวมได้ดี กิจกรรมดนตรี และการเคลื่อนไหวง่ายๆที่พ่อแม่สามารถทำกับลูกได้ เช่น ร้องเพลงกับลูก ช่วยกันคิดท่าทางประกอบเพลง แต่งเพลงง่ายๆร่วมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความ สัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของเด็กตลอดไป

kid 1241817 1280

6. เล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย

ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และมัดเล็กมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมอง เด็กที่มีโอกาสใช้ กล้ามเนื้อต่างๆในร่างกายอย่างเหมาะสม และหลากหลายจะช่วยให้มีพัฒนาการที่ดี นอกจากนั้น กีฬา และการ ออกกำลังกายยังช่วยเสริมสร้างสมาธิ วินัย และความภาคภูมิใจในตัวเอง สำหรับเด็กบางคนอาจชอบกีฬานั้น มากจนสามารถพัฒนาเป็นอาชีพต่อไปได้

7. ทำอาหารด้วยกัน

การทำอาหารเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ครบถ้วน ได้แก่ ตามองดูอาหารว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง อะไรบ้าง จมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นลิ้มชิมรสชาติ หูต้องคอยฟังเสียงในการทอด ผัด อบว่าอาหารสุกได้ที่หรือยัง และมือ ต้องจับวัตถุดิบที่หลากหลายทั้งแป้ง น้ำตาล กะทิ และส่วนผสมอื่นๆ ทำให้ประสาทสัมผัสได้รับการกระตุ้นอย่าง ครบถ้วน นอกจากนั้น ลูกยังได้เรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ไปในคราวเดียวกันผ่านกิจกรรมทำอาหาร ง่ายๆแบบนี้ ในเด็กบางคนที่รับประทานอาหารยากก็มีแรงจูงใจมากพอที่จะชิมฝีมือตัวเองจนหมดจาน และเกิด ความภาคภูมิใจในตัวเองด้วยค่ะ

8. ปลูกผักสวนครัว

สิ่งที่ได้มากกว่าการเฝ้าดูความเติบโตของเมล็ดผักที่เราเอาลงดินไป คือ ความรับผิดชอบในหน้าที่ ทุกวันลูกจะ ต้องรดน้ำต้นไม้ ตรวจตราดูว่ามีศัตรูพืชหรือวัชพืชใดๆหรือไม่ ถึงเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ย พรวนดินหรือยัง และเมื่อเก็บ เกี่ยวได้แล้วก็นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของผู้ปลูก และผู้ดูแลแปลงผักนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ

9. ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ

แท้จริงแล้ว มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อร่างกายถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติจะทำให้เกิดความสุขสงบ ขึ้นมาจากภายใน ลูกจะรับรู้ได้ถึงความสุขจากความเรียบง่าย เมื่อปลูกฝังไปนานๆเด็กที่เข้าใจธรรมชาติจะเข้าใจชีวิตด้วย เข้าใจว่า “ไม่มีอะไรแน่นอน” และความไม่แน่นอนนี้เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเป็นพัฒนาการทาง ปัญญา จิตใจ และทักษะชีวิตที่ดีค่ะ

picking flowers 2432972 1280

10. เล่นสมมติ

เล่นสมมติเป็นกิจกรรมที่เอื้อให้เด็กได้ใช้จินตนาการเป็นอย่างมาก ทำให้สมองได้คิดเชื่อมโยงจากสิ่งหนึ่งไป เป็นอีกสิ่งหนึ่งได้ เล่นสมมติเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นไปได้ช่วยให้เด็กการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆโดยไม่มีคำว่า อุปสรรคเข้ามายุ่งเกี่ยว เวลาที่ลูกเล่นสมมติอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น คุณพ่อ คุณแม่ควรเฝ้าดูห่างๆไม่ควรเข้าไป แทรกแซงการเล่น เพราะช่วงเวลานี้เองที่สมองกำลังเกิดการเชื่อมโยงเป็นอย่างมาก และลูกกำลังอยู่ในโลกที่ เขาสร้างขึ้นเอง ปรากฏการณ์นี้มีเวลาไม่ถึงสิบปีในชีวิตที่ลูกจะมีโลกแบบที่เขาต้องการจะให้เป็นได้อย่างสนิท ใจ

11. เล่นพัฒนาทักษะการคิด

“สมองมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุดเมื่อผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ในสมองจะมีการหลั่งสารเคมีที่ ทำให้เกิดความสุข และจะไปเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้สูงขึ้น”

เป็นที่ยอมรับในระดับสากลถึงความทรงอิทธิพลของการเล่นว่ามีผลต่อพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา “การเล่น” จึงถูกเชื่อมโยงเข้าสู่งานด้านการศึกษาปฐมวัย รวมถึงจิตวิทยาเด็ก และครอบครัวทั้ง ในแง่การส่งเสริม ป้องกัน บำบัด และฟื้นฟู ภายใต้แนวคิด “Play during early childhood is necessary if humans are to reach their full potential” การเล่นในช่วงปฐมวัยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนามนุษย์ คนหนึ่งสู่ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และปัญญา

พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงของเล่นสำเร็จรูปที่ของเล่นชิ้นนั้นเล่นด้วยกลไกของมันเอง ลูกเพียงแต่เฝ้าดูกลไก ไม่เกิด การลงมือทำ เพราะ การลงมือทำเป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการกระทำของตนเองจะทำให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะ ต่างๆมากกว่าการเล่นของเล่นสำเร็จรูปที่ลูกแทบไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

12. ฝึกลูกให้รับผิดชอบ

เป็นความรับผิดชอบ และวินัยที่ลูกพึงมี เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดีในหน้าที่ของตนจะเป็นเด็กที่มีเป้าหมายใน การทำสิ่งต่างๆ พึ่งพาตัวเองได้มาก นอกจากนั้น ยังเป็นการปลูกฝังจิตสาธารณะโดยเริ่มจากครอบครัว พ่อแม่ ควรพูดกับลูกว่า “บ้านของเราที่เราอยู่รวมกันนี้เป็นของทุกคน จึงต้องช่วยกันดูแล รักษาความสะอาด ไม่ใช่ หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น”

พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกมีหน้าที่ประจำของตัวเองตามความสามารถ เช่น กรอกน้ำใส่ขวด เอาขยะไปทิ้ง รดน้ำ ต้นไม้ เก็บจาน เช็ดโต๊ะอาหาร เป็นต้น

13. เปิดโอกาสให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกได้แก้ปัญหาต่างๆด้วยตัวเองบ้าง เด็กที่เรียนรู้การแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองจะไม่ย่อท้อต่อ ปัญหา รู้จักใช้สมองส่วนหน้าที่เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น และสื่อสารความคิดของตนเองให้ผู้อื่น เข้าใจได้ ลูกจะเรียนรู้ “การพึ่งตนเอง” เมื่อวันหนึ่งที่เขาต้องเผชิญโลกนี้คนเดียวเขาจะก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆไป ได้ นอกจากนั้น ลูกยังได้เรียนรู้ความแตกต่างของผู้คน และรู้จักปรับตัวให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขซึ่งเป็น ทักษะชีวิตที่สำคัญมากต่อไปค่ะ

pexels photo 264109

14. ฝึกให้ลูกมีจิตสาธารณะ

จิตสาธารณะเป็นเรื่องที่อาศัยเวลาในการบ่มเพาะกว่าจะงอกเงยในเด็กคนหนึ่งอาจใช้เวลาหลายปี แต่เชื่อเถอะค่ะว่า “Children See, Children Do : เด็กเห็นอย่างไรก็ทำอย่างนั้น” นักทฤษฏีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Cognitive Learning Theory) ชื่อ Albert Bandura ได้กล่าวไว้ว่า ตัวแบบ (modeling) และ การลอกเลียนแบบ (imitation) มีผลต่อการเรียนรู้ กล่าวคือ คนเรียนรู้ได้จาการดูหรือสังเกตด้วยความตั้งใจ (attention) ทำให้เห็น ภาพ กระบวนการจดจำ (Retention) วิเคราะห์ และตัดสินใจแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction) สรุปสั้นๆว่า ถ้าพ่อแม่ซึ่งเป็นตัวแบบ (Modeling) ได้ลงมือทำสิ่งที่ดีให้ลูกเห็นย่อมทำให้ลูกเกิดแรงจูงใจที่จะ ทำให้เกิดการทำพฤติกรรมนั้น ซึ่งครูปุ๊กคิดว่า “Children See, Children Do” นี้เป็นไปในทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่อง จิตสาธาณะเท่านั้นนะคะ

15. ให้การสนับสนุนสิ่งที่ลูกสนใจ

เด็กมีความสนใจที่หลากหลาย และมักมีคำถามมาให้พ่อแม่ช่วยหาคำตอบให้เสมอ พ่อแม่ไม่ควรปล่อยโอกาส ที่ลูกกำลังมีความกระหายใคร่รู้อย่างเต็มที่ผ่านไปเฉยๆ เพราะ ลูกกำลังมีแรงจูงใจในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และ สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้ลูกมีความรู้รอบตัวซึ่งเขาอาจได้ใช้ประโยชน์ในวันหนึ่ง ครอบครัวที่เพิกเฉยเบื่อหน่ายต่อการตอบคำถามของลูกจะเสียเปรียบครอบครัวที่กระตือรือร้นค้นคว้าหาคำ ตอบมาให้ลูกค่ะ หลายครั้งที่เด็กสองคนมีต้นทุนชีวิตที่ไม่ต่างกันเลยแต่กลับมีศักยภาพที่ต่างกัน เพราะความใส่ใจของพ่อแม่ต่างกันค่ะ

16. หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอเวลาที่ลูกอยู่ข้าง ๆ

ภาพ แสง สี เสียงของสื่อ Online และ Digital ที่ล้อมรอบสังคมโลกทุกวันนี้เป็นสิ่งเร้าที่มีระดับเกินธรรมชาติ เมื่อลูกได้รับภาพ แสง สี เสียง เหล่านี้มาก ๆ จนเคยชิน จะทำให้วงจรสมองส่วนพึงพอใจ (Brain Reward Circuit) มีระดับสูงเกินปกติ เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สิ่งเร้าเป็นไปตามปกติจึงไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจได้มากพอ เพราะสารเคมีในสมองส่วนพึงพอใจได้เปลี่ยนการทำงานของสมองส่วนนี้ไปแล้ว กระบวนการชีวเคมีในสมองของเด็กที่เสพย์สื่อ Online และ Digital จนเกินพอดีนั้นเป็นไปในแนวทางเดียวกับการเสพย์สารเสพติด ทำให้เด็กจดจ่ออยู่กับกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ไม่นาน อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และมีความพร่องด้าน การใช้ภาษา เพราะอยู่กับการสื่อสารทางเดียว
พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สื่อ Online และ Digital เมื่ออยู่กับลูกเพื่อใช้เวลาคุณภาพร่วมกันในครอบครัวอย่าง แท้จริง และเป็นแบบอย่างในการใช้สื่อเหล่านี้เมื่อจำเป็นเท่านั้นค่ะ

17. หลีกเลี่ยงการทำโทษลูกด้วยการใช้อารมณ์

เมื่อลูกทำผิดจนถึงขั้นต้องลงโทษ พ่อแม่ควรสื่อสารให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่ไม่ชอบพฤติกรรมลูกเท่านั้นไม่ใช่ไม่ชอบตัวลูก และมีการอธิบายเหตุผลการลงโทษ ไม่ควรทำโทษลูกอย่างทารุณกรรม

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นในสังคมนั้นต้องเกิดจากการที่เด็กเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวก่อน ถ้าแม้แต่ในครอบครัวยังไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยกันได้ เด็กก็จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ยาก และเด็กที่โดนทารุณกรรมทางกายย่อมกระทบถึงใจ เขามีโอกาสที่จะปฏิบัติกับผู้อื่นในแนวทางเดียวกับที่เขาได้รับการปฏิบัติมา ถ้าครอบครัวปฏิบัติอย่างให้เกียรติเขา เขาจะปฏิบัติอย่างให้เกียรติกับผู้อื่นเช่นกัน

ในแง่การทำงานของสมองนั้น การเติบโตมาในครอบครัวที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลจะทำให้สมองทำงานช้าลง คิดไม่คล่องแคล่ว ขาดความภาคภูมิใจ และนับถือตนเอง

mother 1171569 1280

18. สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้สงบสุข

ความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อกับแม่ทำให้ลูกรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยทางจิตใจ ไม่รู้สึกหวาดหวั่นว่าพ่อแม่จะหย่าร้าง หรือต้องแยกจากพี่น้องคนอื่น ๆ เพื่อเลือกว่าจะอยู่กับใคร ในครอบครัวที่มีปัญหากัน ลูกย่อมรู้สึกเศร้าทำให้สมองทำงานได้ช้าลง ไม่พร้อมที่จะเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ส่งผล ในระยะยาวต่อไปคือ ลูกมีโอกาสหวาดหวั่นในชีวิตสมรสของตัวเองต่อไปในอนาคตว่าจะประสบพบเจอเหมือนกับที่พ่อแม่เคยเป็นมาหรือไม่

พ่อแม่จึงควรรักษาความสัมพันธ์ให้ดีอยู่เสมอ หากมีข้อขัดแย้งกันควรพูดคุยกันปัญหาต่างๆ เป็นการส่วนตัว ลูกรับรู้อารมณ์ของพ่อแม่เสมอตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เขารู้ว่าตอนนี้บรรยากาศรอบตัวกำลังสุขหรือทุกข์ การสร้างบรรยากาศในครอบครัวให้สงบสุขจึงมีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตของลูกมาก

19. พูดคุยความรู้สึกของกันและกัน

เด็กจะมีอารมณ์สงบก่อนนอนหลับนับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่พ่อแม่น่าจะใช้พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับความรู้สึกว่ารักเขามากเพียงใด และพ่อแม่จะอยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน ลูกอาจเปิดใจเล่าความไม่สบายใจหรือถามคำถามที่ติดค้างในใจ พ่อแม่มีโอกาสได้ตอบ ได้อธิบายในข้อสงสัยนั้น ทำให้เด็กเกิดความมั่นคงปลอดภัยทางจิตใจ สบายใจ และมีความสุขค่ะ

20. กอด หอม ชมเชย

เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่งดี ๆ ในตัวเอง เขารักคนที่เลี้ยงดูใกล้ชิดเขา และอยากให้ตนเองเป็นที่รักของคนรอบข้างด้วย การแสดงออกว่าเรารักลูกด้วยการกอด หอม และชมเชยอย่างสมเหตุสมผลจะทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ลูกจะเชื่อว่าเขาทำได้ทุกอย่าง จะดีหรือไม่ดีเท่ากับใครนั้นก็ไม่สำคัญว่าเขาได้ทำดีที่สุดแล้ว ประโยคที่พ่อแม่ควรพูดกับลูก คือ “หนูเก่งกว่าที่หนูคิด” และ “หนูสามารถทำได้ดีกว่าที่หนูทำอยู่” บอกลูกนะคะว่า “ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรคุณก็จะรักเขาอย่างที่เขาเป็น” ลูกรักพ่อแม่ที่สุด แต่บางทีเขาก็สงสัยค่ะว่า พ่อแม่รักเขาที่สุดหรือไม่ ช่วยยืนยันกับลูกหน่อยนะคะ

20 วิธีที่ครูปุ๊กแนะนำมานี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เงินจำนวนมากมายเลยนะคะ สรุปสั้นๆได้ว่าคุณสามารถช่วยให้สมองของลูกทำงานอย่างเต็มศักยภาพใช้เวลาคุณภาพกับลูกได้โดยมีเวลาคุณภาพซึ่งใช้เวลาเพียง 20 – 30 นาทีต่อวันก็เพียงพอให้สมองของลูกทำงานได้ดีแล้ว แต่ต้องเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกโดยตรง ไม่มีภาระงานอื่นเข้ามาแทรกแซงนะคะ อยากให้เป็นเวลาของพ่อแม่ลูกอย่างแท้จริง

สมองที่ทำงานได้ดีไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติหากแต่เกิดจากการกระตุ้นของพ่อแม่เป็นสำคัญ

ด้วยรัก
ครูปุ๊ก
ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการสถาบัน Play Academy