การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร หรือกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นที่พูดถึงกันมากที่สุดคือ “มารยาท” “คำพูด” ที่มองกันว่า “หยาบคาย” “ไม่เหมาะสม” “หมื่นคนอื่น“
ท่าทีล่าสุดของนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาย้ำประเด็นนี้อีกครั้ง (เหมือนกับที่คนในรัฐบาลเคยพูดเป็นร้อยครั้ง) ว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
“รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง“
นายอนุชาบอกอีกว่า “การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ”
เมื่อพูดถึงบทบาทเจ้าหน้า นายอนุชา บอกว่า “บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม”
คำพูดของนายอนุชา ดูไปแล้วอาจมองว่า “โถ..ช่างอินโนเซนซ์ทางการเมืองเหลือเกิน“ แต่หากมองลึกลงไป อาจจะเห็นภาพความขัดแย้งชัดเจนขึ้น อันเนื่องมาจาก “ภาษา”
เมื่อฟังความคิดเห็นของนายอนุชา ก็ต้องบอกว่าเป็นคำพูดของ “รัฐ“ เต็มรูปแบบและเป็น “คำพูด“ที่ใช้กันมาบ่อยครั้งมาก ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่ายไหนในอดีต หากมีท่าทีแสดงให้เห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจรัฐ ก็จะปรากฏ “คำพูด“ในลักษณะนี้ออกมาเป็นระยะ เพื่อปราบปรามการชุมนุม หรือ ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมบางคน
ที่น่าแปลก “คำพูดลักษณะเดียวกันนี้” มีการนำมาใช้ทั้งรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร หรือมีทหารหนุนหลัง ชี้ให้เห็นว่า “คำพูด“ หรือที่มักเรียกกันอีกอย่างในความหมายที่กว้างกว่า คือ “วาทกรรม“ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ แต่เป็นคำพูดจาก “อำนาจรัฐ“
หมายความว่าไม่ว่าใครมีอำนาจเป็นรัฐบาล คำพูดเหล่านี้ก็จะมาโดยอัตโนมัติ เหมือนกับว่า “อำนาจรัฐ“ เป็น “มือที่มองไม่เห็น“ และพร้อมที่จะยัดใส่ปากคนที่มีตำแหน่งในรัฐบาล หากเห็นว่ามีการคุกคามเกิดขึ้น
แต่ทำไมผู้ชุมนุม (ไม่ใช่เฉพาะคณะราษฎร หรือม็อบเด็ก ๆ เหมือนที่มองกัน) จึงใช้คำที่ไม่เหมาะสม “หยาบคาย” “ด่าทอ” ฯลฯ
คำตอบสำหรับคำถามนี้ ก็คือ พวกเขาเป็น “ขบถ“ ต่ออำนาจรัฐอย่างไงละ ซึ่ง “ขบถ“ก็หมายถึงการต่อต้านอำนาจรัฐ ดังนั้น หากรัฐห้ามอะไร กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะ“ฝ่าฝืน“ (ไม่ใช่เฉพาะม็อบนี้ ม็อบกีฬาสี “เหลือง–แดง“ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน) เมื่อคนในรัฐพบปะพูดคุย ใช้ภาษา “สุภาพ” “ท่านครับ–ท่านค่ะ“ ก็ไม่น่าแปลกที่ม็อบจะใช้ภาษาตรงกันข้าม ก็เพราะพวกเขา “ขบถ“
หากมองให้ลึกลงไปอีกหน่อย ความพยายามพูดให้ม็อบใช้ภาษาสุภาพ ก็เป็นกลยุทธ์ของรัฐ ในการใช้ภาษา เป็น”เครื่องมือทางการเมือง” เพื่อควบคุมม็อบและหากแนวร่วมอื่น ๆ จะเห็นว่า “รัฐดีอยู่แล้ว“ แต่ใช้เพื่อควบคุมม็อบนั้นคงเปล่าประโยชน์ ได้เพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมเรียกร้องการสนับสนุนอาจจะได้ผล
ดังนั้น การใช้ประเด็นเรื่อง “ภาษา“ เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง (ทั้งสองฝ่ายก็ใช้) และเลิกคิดได้แล้วว่า “ภาษามีความเป็นกลาง“ ซึ่งอาจจะทำให้เราเข้าไป “ตรงประเด็น“มากขึ้นถึงความขัดแย้ง ที่มากกว่าเรื่อง “ภาษา“
เราต้องคิดเสมอว่า “ไม่มีขบถที่ไหนในโลก ใช้ภาษาสุภาพ“
อ่านข่าวเพิ่มเติม :
- อย่าทำแบบนี้!! ส.ว.เตือน ม็อบเยาวชน ทำลายไม่ใช่ปฏิรูป กำลังเข้ารกเข้าพง
- กระแสตีกลับ ‘รุ้ง ปนัสยา’ หลังโพสต์ทวิตเตอร์โจมตี ‘ชวน หลีกภัย’ หยาบคาย
- สุดทน! ‘ธนกร’ อัดม็อบจาบจ้วงสถาบัน ย่ำยีหัวใจคนไทย