COLUMNISTS

สมรภูมิการเมืองบทพิสูจน์…คนรุ่นใหม่

Avatar photo
70

หมู่นี้เห็นพรรคการเมืองแต่ละพรรคคึกคักกันเป็นพิเศษ เพราะเริ่มมีสมาชิกหน้าใหม่ แห่สมัครเป็นสมาชิกพรรคกันยกใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีทั้งทายาทนักการเมืองเก่าและนักวิชาการ เรียกว่าหลั่งไหลเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคกัน โดยเฉพาะพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนจะมีคนรุ่นใหม่เริ่มที่จะจับจองกัน

283bc81eb5e78f18a6b3815d69ab08bb

ล่าสุดมีกลุ่มคนหนุ่ม-สาว ทายาทนักการเมือง เรียงหน้าเข้าเป็นสมาชิกกัน ดูคึกคักผิดแปลกจากเมื่อก่อน ที่มีแต่คนหน้าเดิมๆ หากจะให้คึกคักกว่านี้ อย่าเพียงแค่เข้าสมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น มันควรต้องลงสมัคร ส.ส. ในแต่ละเขตพื้นที่ด้วย ถึงจะได้สมศักดิ์ศรีว่าเป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ

หากการเลือกตั้งรอบนี้มีหน้าใหม่ปรากฎในสนามแข่งจริง ก็น่าจะเป็นบทพิสูจน์การเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ประเภทแบบเก่าๆ หัวโบราณ อายุเกิน 60 ปี 70 ปี น่าจะถึงเวลาพักได้แล้วไม่ควรมานั่งยึดติดแบบการเมืองเดิมๆอีกแล้ว

ไม่เฉพาะแต่พรรคเพื่อไทย ที่คนรุ่นใหม่ กล้าก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง ยังมีอีกหลายพรรคที่เริ่มเห็นคนหนุ่มสาว ให้ความสนใจทางการเมืองมากขึ้น

หากมีคนรุ่นใหม่เข้าสู่ถนนการเมืองได้มาก น่าจะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ที่จะเห็นแนวคิดการบริหารใหม่ๆได้ อาจจะเป็นแรงส่ง และแรงขับเคลื่อนทำให้ประเทศไทยไปสู่ 4.0 ได้ แต่หากยังเป็นการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆประเทศไทยก็อาจจะเป็นได้แค่ 0.4 

ฉะนั้นการเลือกตั้งรอบนี้ที่กำลังจะมีขึ้นไม่กี่เดือนข้างหน้า น่าจะสร้างความคึกคักให้กับสมรภูมิการเมืองทีเดียว และหวังว่าคนรุ่นใหม่ที่กำลังก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองเวลานี้ น่าจะเป็นการเริ่มต้นหรือจุดประกายการพัฒนาประเทศได้ เพราะแต่ละคนที่โผล่หน้าออกมาเวลานี้ เรียกว่ามี“ดีกรี”ที่ไม่ธรรมดา

แต่ที่สำคัญยิ่งคนรุ่นใหม่เหล่านี้ หากสามารถเข้ามาบริหารประเทศได้จริง ต้องไม่เป็น “ตรายาง” ทายาท นักการเมืองน้ำเน่า หรือเป็นเพียงแต่ “นอมินี” อย่างที่ผ่านๆ มา

หากคนรุ่นใหม่จริงใจและพร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาบ้านเมือง เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากประชาชนทีเดียว วันนี้ประเทศต้องการการพัฒนาไปข้างหน้า ต้องการความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน ต้องการลดความขัดแย้งโดยสิ้นเชิง  ไม่ต้องการเพียงแค่ “ทายาท” รับไม้ต่อหรือคั่นจังหวะเท่านั้น

ขณะที่พรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์วัย 72 ปี วันนี้ดูเหมือนจะยังวุ่นวายไม่รู้จบกับการเลือก “หัวหน้าพรรคคนใหม่”

ผู้คนเกิดความสงสัยกันมากเป็นพรรคเก่าแก่ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาเปลี่ยน “ม้ากลางศึก” อย่างนี้ หรือว่ามีอะไรซ่อนเร้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างทาง ดูเหมือนเป็นศึกภายในที่กำลังร้อนระอุอยู่ไม่น้อยทีเดียว

สำหรับพรรคการเมืองใหม่อย่าง พรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีแต่ความไม่แน่นอน เริ่มเกิดอาการหวั่นไหวกันเสียแล้ว “พลังดูด” ที่มีก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนอ่อนแรงลงทุกขณะ

วันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่อาสาทำหน้าที่เป็นเครื่องดูดอดีตส.ส.เข้าสังกัด ก็เกิดอาการไม่ค่อยสู้ดีนัก  มีแต่เสียงบ่นพึมพำให้ได้ยิน เสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นบอกว่า “ไม่ไหว”

สนธิรัตน์ อุตตม
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์                                                                อุตตม สาวนายน

ความชัดเจนที่บอกว่าไม่ไหวนั่นคือ ใครคือหัวหน้าพรรค ใครคือเลขาธิการพรรค หากเป็นชื่อที่ปรากฎอยู่อย่าง “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะมานั่งหัวหน้าพรรค

แม้แต่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะมานั่งเลขาธิการพรค ในทางการเมืองอาจจะไม่ไหวเสียแล้ว อีกคนเป็นนักวิชาการอีกคนเป็นนักธุรกิจ พูดง่ายๆยังไม่เจนจัดพอกับถนนการเมือง หากจะไปวัดพลังกับคู่แข่งมันช่างอ่อนเสียเหลือเกิน

หันไปทางพวกการเมืองเก่า ที่ประกาศตัวอาสาจะเข้าร่วมกับพรรคนี้ มาระยะหลังก็ดูเหมือนพลังจะแผ่วๆ เข้ามาทุกขณะ ไม่รู้แผ่วเพราะคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่า หรือว่าแผ่วเพราะกระสุนน้อยไป

เอาละ..นาทีนี้ยังอาจจะวัดอะไรได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  บอกได้อย่างเดียวการเมืองรอบนี้ ถ้ามีเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ธรรมดา แต่สิ่งสำคัญแพ้หรือชนะอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น