COLUMNISTS

อ่านที่นี่!! เปิดเคล็ดลับทาน ‘ของหวาน’ อย่างไรไม่ให้อ้วน

Avatar photo
Longevity Inspirationist ผู้เชี่ยวชาญสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการรักสุขภาพ
2794

แค่อ่านหัวข้อ ก็ชวนสงสัยแล้วว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ผู้อ่านหลายท่านชื่นชอบการทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ถึงแม้ทราบอยู่เต็มอกเลยว่า ทานแล้วอ้วน ทานแล้วคอเลสเตอรอลขึ้น ยิ่งถ้าคนที่มีโรคประจำตัวโรคเบาหวานแล้วหล่ะก็ การทานของหวาน ถือเป็นข้อจำกัดจำนวนทานกันเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่า การทานของหวาน ทำให้อารมณ์ดี สดชื่น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปริมาณน้ำตาล และแคลอรี่จำนวนมากตุนอยู่ในร่างเรา อย่างที่ “คุณหนุ่ย” – พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (เจ้าพ่อไอที แห่งแบไต๋) เคยกล่าวว่า “น้ำตาล = ฆ่าเรา” ผู้เขียนเห็นด้วย 100% เพราะร่างกายเรา จะโหยหาความหวานตลอดเวลา ถึงแม้เจ้าตัวน้ำตาล จะมอบความสุขแก่เราเพียงชั่วคราว แต่ก็สามารถทำลายร่างกายเราในระยะยาว

bangkok เปิดเคล็ดลับทานของหวานยังไรไม่ให้อ้วน e1603994475626

ความหวาน เป็นสิ่งเสพติด

ถูกต้องค่ะ ความหวานเป็นสิ่งเสพติดที่หาง่ายมากในท้องตลาด ราคาก็ไม่แพง (เอาเข้าจริง ๆ แล้ว อยากบอกว่า ยิ่งถูก ยิ่งหวาน เพราะการเพิ่มน้ำตาลเข้าไปในอาหารนั้น ง่ายกว่าการเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร) ณ วันนี้ ถ้าเราเริ่มตัดน้ำตาลออกจากสารบทอาหารของเราได้หล่ะก็ วงจรสะสมไขมันในร่างกายก็จะค่อย ๆ น้อยลงแบบเห็นได้ชัดเลย

“ไขมัน” อันตรายที่สุด เข้าใจผิดหรือ?

ผู้เขียนเคยอ่านบทความของท่านอจ.หมอหนึ่ง Healthy Hero ท่านได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า เมื่อ 30 – 40 ปีที่แล้ว พวกเรามักเข้าใจว่า เจ้าตัวไขมัน อันตรายสุด ! คำตอบคือ ไม่ใช่ค่ะ ขออธิบายหลักการทำงานง่าย ๆ คือ ตัวหลักที่ทำให้เราสะสมไขมัน คือฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “อินซูลิน” เจ้าตัวฮอร์โมนตัวนี้ มีหน้าที่เก็บน้ำตาลจากกระแสเลือดออกมา ถ้าร่างกายมีฮอร์โมนนี้ในปริมาณพอดี มันจะมีประโยชน์มาก

แต่ถ้าร่างกายได้รับ น้ำตาลมากเกินไป เจ้าตัวฮอร์โมนอินซูลินตัวนี้จะทำงานหนักขึ้น และสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของ “ไขมัน” ให้เราแทน ยังไม่หมดเท่านี้ เมื่อค่าไขมันในเลือดเราสูงขึ้น มันจะนำโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ พาเหรดกันมาเป็นแพจเกจเลย สุดท้าย คอเลสเตอรอลก็สูง โรคร้ายก็เต็มตัว ทั้งที่จริง ๆ แล้ว แค่ลดน้ำตาล ชีวิตก็ดีขึ้นแล้ว ง่ายมั๊ย ?

เขียนเกริ่นนำมาอย่างเพลิดเพลิน เพราะผู้เขียน ก็เป็นหนึ่งคนที่ลดน้ำตาลได้แล้ว ชีวิตดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด น้ำหนักตัวลด ผิวออร่า (แนะเลย…ถ้าไม่ยากเกินไป ลด/งด น้ำตาลกันเถอะค่ะ) แล้วถ้าลดไม่ได้หล่ะ ขอทานสักนิ๊สส จะได้ไหม อ่ะวันนี้ผู้เขียนมีแนะนำ เคล็ดลับทานของหวานอย่างไร ยังรักษาหุ่นได้เพรียวลม แถมไม่ให้อ้วนด้วยสิ !

Screen Shot 2020 09 17 at 15.05.26 e1603994506484

1. ต้องคำนวณปริมาณแคลอรี่ ขอหยิบมาไว้ข้อแรกเลยทีเดียวเชียว เพราะสำคัญมาก อาจมีคำถามแล้วจะคำนวณอย่างไร ? คืออย่างนี้ค่ะ ก่อนทาน เราควรอ่านปริมาณแคลอรี่ในขนมเสียก่อน อ่านจากข้างกล่อง หรือสลากกำกับด้านใน แสดงข้อมูลโภชนาการ อ่านให้ละเอียด และควรเน้นที่มีไขมัน เป็นส่วนประกอบให้น้อย ถึงน้อยที่สุด

2. ช่วยลดแคลอรี่ในขนม มีสงสัย ลดแคลอรี่ในขนม ยังไง ? นี่เลย ตักครีมออกจากขนมก่อนทาน เช่น หน้าเคกมีครีม หรือเรซิ่น ที่โรยมา ให้เราเกลี่ยน้ำตาล/ครีม ออก จะช่วยลดพลังงานได้ถึง 80-140 แคลอรี่ เลยทีเดียว

3. ใช้เทคนิคเข้าช่วย อยากหุ่นดี แต่ยังอยากทานขนม ต้องใช้เทคนิคนี้เป็นตัวเสริมเลยค่ะ คือ ดื่มน้ำไปก่อนทานขนมหวาน เพราะการที่เราดื่มน้ำเข้าไปก่อน จะช่วยทำให้เราอิ่มได้ส่วนหนึ่ง จึงทานขนมหวานได้น้อยลงไปในตัว

4. ลดสัดส่วนในการทาน เคยได้ยินประโยคนี้ไหมค่ะ “ทานแค่รู้รส” เช่นทานคุกกี้เพียง 1 ชิ้น และทานไอศกรีมอีก 1 สคูปเล็ก ๆ เราก็จะได้ทานหลากหลายอย่าโดยได้แคลอรี่เพียงครึ่งเดียว

5. เดินออกกำลังหลังทานขนม ยกตัวอย่าง ทานขนมไปสัก 10-15 นาที อย่านั่งนิ่งนะคะ แนะนำให้เดินเล่นรอบ ๆ บ้านสัก 15 นาที เพื่อช่วยย่อย และยังช่วยไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกด้วย

6. แนะดื่มชาเขียว จะเป็นชาเขียว กาแฟร้อน ได้ทั้งนั้นค่ะ (เลี่ยงใส่น้ำตาล และครีม) เพราะเจ้าตัวคาเฟอีน จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากจำเป็นต้องใส่น้ำตาลจริง ๆ ให้แทนด้วย น้ำตาลเทียม

7. งดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น โดยควรเน้นมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน เป็นผัก 80% และโปรตีนเพียง 20% ส่วนมื้อเย็นให้ทานผัก ผลไม้สด และดื่มน้ำเปล่า (งดของหวานตลอดวัน) หรือวันรุ่งขึ้น ทานแบบ IF เลยก็ได้ค่ะ คือ งดมื้อเช้ายาวไปเลย ทานเป็นมื้อเที่ยงไปเลยก็ได้เหมือนกัน ส่วนมื้อเย็น ทานซุป หรือสุกี้ผักแทน

บางท่านบอกคำนวณปริมาณแคลอรรี่ในร่างกายว่าต้องการต่อวัน ง่ายกว่า ก็ได้เหมือนกันค่ะ ความโชคดียุคนี้ ขนมส่วนใหญ่ เครื่องดื่มต่าง ๆ จะเน้นที่มีไขมันต่ำ ช๊อคโคแลค low fat จึงทำให้เพิ่มโอกาสในการทานของหวานง่ายขึ้นอีก อย่างไรก็ดี นอกจากควบคุมการทานอาหารแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะคะ พบกันใหม่ ฉบับหน้า สวัสดีค่ะ

(เครดิต : http://bit.ly/2qhHgDj)
www.kinn.co.th
#KINN_Holistic_Healthcare

อ่านข่าวเพิ่มเติม