ตอนนี้ (28 ส.ค.) “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังเดินทางไปจิบกาแฟยามเช้า ที่สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บางกรวย นนทบุรี หัวข้อการหารือ ด้านหนึ่งคงเป็นเรื่องการเล็งคนมาลงตำแหน่งว่าง 2 ที่ ในคณะกรรมการกฟผ.
อีกเรื่องมาทำความเข้าใจร่วมกัน เรื่องสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของกฟผ. ภายหลังกระทรวงพลังงาน ได้ทำหนังสือตอบกลับไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินยืนยันในหลักการเดิม พูดง่ายๆก็คือ ไม่จำเป็นที่กฟผ.ต้องถือสัดส่วนการผลิตมากกว่า 51% อย่างที่ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัย เพราะโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า ยังอยู่กับกฟผ. แต่เรื่องจะจบลงที่คำชี้แจงของกระทรวงพลังงาน หรือผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งต่อไปยังครม.ก็ต้องลุ้นกันต่อ
แต่ที่แน่ๆนายสนธิรัตน์ ต้องการมาให้นโยบายใหญ่ เพราะเขาไม่ต้องการให้กฟผ.เป็นแค่ผู้ผลิตไฟฟ้าแบบเดิมๆอีกต่อไป แต่ต้องการให้กฟผ.มีบทบาทมากกว่านั้น นั่นคือการยกระดับให้ไทยเป็น Center of ASEAN หรือศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซียน
และต้องการเห็นการนำนวัตกรรมมาใช้ในภารกิจของกฟผ.มากกว่านี้ ให้กฟผ.เท่ากันการเปลี่ยนแปลง สามารถรับมือภาวะ Disruption ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นโดมิโนในแวดวงต่างๆรวมถึงไฟฟ้า ให้ต้นทุนต้องแข่งขันกับภาคเอกชนได้
ที่สำคัญต้องเป็นกลไกในการทำให้เกิดไฟฟ้าชุมชนตามนโยบายของเขา แบบ “สร้างรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก”
ด้านกฟผ.ก็มีเรื่องคาใจที่คงจะอยากหารือกับนายสนธิรัตน์เช่นกัน ถึงนโยบายการเอาน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) ไปเผาในโรงไฟฟ้าบางปะกง จะมีทุกครั้งไปยามที่ราคาปาล์มตก สต็อกซีพีโอล้น หรือไม่ ? เพราะการคิดอะไรไม่ออก “เอาไปเผา” ไว้ก่อนไม่ make sense ยามโลกเรียกร้องการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า
เท่าที่ดูดวงกฟผ.มา การเอาซีพีโอไปเผม คงจะกลายเป็นภารกิจระยะยาว เพราะนายสนธิรัตน์ ประกาศว่าจะใช้การแก้ปัญหาแบบนี้ยามจำเป็น แต่สุดท้ายก็เร่งให้กฟผ.รับซื้อให้ครบตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) 200,000 ตัน จากก่อนหน้านี้ซื้อไปแล้ว 160,000 ตัน งานนี้กฟผ.รับภาระรวมอ่วม ราวเกือบๆ 4,000 ล้านบาท
คุ้มหรือไม่กับภาระที่เกิดขึ้น ? หากคิดว่าเป็นกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาก็พอได้ เพราะสุดท้ายก็ส่งมายังผลประกอบการ และการนำเงินส่งเข้ารัฐของกฟผ.ในสิ้นปีงบประมาณอยู่ดี
ส่วนคำถามว่า ดีหรือไม่ดีกับการนำซีพีโอมาเผา? คงไม่ดีแน่ รัฐบาลต้องมีวิธีการบริหารจัดการพืชเกษตร รวมถึงปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืนกว่านี้ ประชาชนแอบหวัง ว่ารัฐบาลนี้จะมีฝีมือบริหารจัดการพืชเกษตรที่แตกต่างออกไปจากยุคก่อนๆ
นอกจากการปรึกษาหารือระหว่างนายสนธิรัตน์ และผู้บริหารกฟผ.ในเรื่องต่างๆแล้ว การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ กฟผ.ขอเล่นใหญ่ ให้นายสนธิรัตน์ได้ face เต็มๆ จัดให้มีการลงนามความร่วมมือ “โครงการที่ปรึกษาพลังงานปี 2562” ระหว่างกฟผ.กับหน่วยงานพันธมิตร 40 ราย และพิธีลงนามความร่วมมือ “โครงการจักรยานยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 5″ ระหว่างกฟผ.กับผู้ประกอบการ 12 ราย พร้อมเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 5 และติดฉลากเบอร์ 5 เป็นปฐมฤกษ์ โชว์ให้เห็นศักยภาพการมีบทบาทนำของ กฟผ.ในการกระตุ้นตลาดพลังงานแห่งอนาคต