สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนถูกจับตาว่า กำลังจะยกระดับไปสู่สงครามค่าเงิน เมื่อเงินหยวนเทียบดอลลาร์อ่อนค่าลงไปที่ระดับ 7.0307 หยวนต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา นับว่าต่ำสุดในรอบ 11 ปี นับจากปี 2551
การเคลื่อนไหวของเงินหยวนรอบนี้ ตลาดจับตาว่าจีนกำลังใช้ “ค่าเงิน” ตอบโต้ “มาตรการภาษี” ของสหรัฐหรือไม่ เพราะปกติธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี)จะดูแลไม่ให้เงินหยวนปรับขึ้นลงเกิน 2% จากอัตรากลางที่พีบีโอซีกำหนดไว้ในแต่ละวัน
อีกทั้งค่าเงินหยวนเปลี่ยนไป ภายหลัง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศ (2 ส.ค.)ว่า จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% จากวงเงิน 300,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน นี้
แม้จีนพยายามทอนความกังวลเรื่อง ”สงครามค่าเงิน” ด้วยการยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปตามกลไกตลาด อันเป็นผลจากมาตรการภาษีของสหรัฐเอง และเข้ามาดูแลค่าเงินหยวนในภายหลัง
แต่การที่ สหรัฐ ออกมาประกาศ คล้อยหลัง หยวนอ่อนค่าไม่นานว่า จีนปั่นค่าเงิน และ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังสั่งกระทรวงการคลัง ให้ขึ้นบัญชีจีนเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน ทำให้ระดับความเสี่ยงที่ สงครามการค้าจะกลายเป็นสงครามค่าเงินเพิ่มขึ้น
ประเด็นที่โลกกำลังจับตาดูต่อไป คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ จะงัดมาตรการใดมาบีบจีนอีกนอกจากทวีตข้อความหวือหวาสร้างความสนใจ เพราะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบล่าสุดถือว่า สหรัฐใช้กระสุนเกือบหมดแม็กแล้ว
พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลกับสื่อว่า สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรวม 3,812 รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดที่สหรัฐนำเข้าจากจีน และยังไม่ได้ขึ้นภาษี โดยครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภค จำพวกอาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รอง เครื่องประดับ ของเล่น ฯลฯ
ในขณะที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกมาทวีตเมื่อเร็วๆนี้ว่า เศรษฐกิจจีนไตรมาสสองปีนี้ที่ขยายตัว 6.2% ต่ำสุดในรอบ 27 ปี เป็นผลจากมาตรการภาษีที่ตนเองนำมาใช้กับจีน และเย้ยตามสไตล์ว่าจีนเสียใจที่ถอนข้อตกลงการเจรจาการค้า
ตลอด 2 ปี เศษนับจากศึกการค้าปะทุขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ทั้งมาตรการทางการศึกโดยมี “มาตรการภาษี” เป็นอาวุธสำคัญ ควบคู่ไปกับการเจรจา จีนกับสหรัฐพยายามใช้ช่องทางเจรจาบนโต๊ะเพื่อสงบศึกการค้าแต่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เพราะจีนไม่ยอมรับข้อเสนอฝ่ายเดียวจากสหรัฐ
ความพยายามครั้งล่าสุดคือการหารือทวิภาคี ระหว่าง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กับ ประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงประชุมกลุ่มประเทศจี 20 ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายทำสัญญาสงบศึกชั่วคราว วอชิงตันรับปากว่าจะเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 25% ออกไป ส่วนปักกิ่งรับปากจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่ม
หากเพียงเดือนเศษๆ หลังการกลับขึ้นโต๊ะเจรจาระหว่าง 2 ฝ่ายไม่คืบหน้า สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มดังที่กล่าวข้างต้น โดยประธานาธิบดี ทรัมป์โจมตีจีนว่า ไม่ซื้อสินค้าเกษตรโดยเฉพาะถั่วเหลือง และจู่ๆ เงินหยวนก็อ่อนค่ากะทันหัน
ประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูท่าประธานาธิบดี ทรัมป์ คงไม่สามารถต้อนจีนให้จนมุมในสงครามการค้า เพื่อสะสมความนิยมได้ก่อนลงสนามเลือกตั้งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองตามที่คาดหวังไว้ นอกจากทวีตสร้างความฮือฮาเป็นระยะๆ เพราะประธานาธิบดีสีของจีนคงใช้วิธี “ดึงเช็ง” ซื้อเวลาไปตามสถานการณ์ พร้อมเจรจาแต่ไม่ยอมอ่อนข้อ
สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองของโลกที่ทำท่าจะลุกลามไปสู่สงครามค่าเงิน เติมความไม่แน่นอนให้เศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น และไม่ว่าสงครามการค้ารอบนี้จะจบลง เมื่อไหร่และอย่างไร โฉมหน้าของการค้าโลกคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป