ประเทศไทยต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 27 พัฒนาการจาก ODM สู่ OBM ของไต้หวัน: การก้าวข้ามจากผู้ผลิตสู่ผู้สร้างแบรนด์
การพัฒนาจาก ODM (Original Design Manufacturing) สู่ OBM (Own Brand Manufacturing) ของไต้หวัน ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของประเทศในการเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมการผลิต การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไต้หวันในการก้าวข้ามจากการเป็น ผู้ตาม สู่ ผู้นำ ในเวทีโลก
การต่อยอดจาก ODM สู่ OBM โดยมุ่งเน้นไปสู่การสร้างแบรนด์ระดับโลกนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่ไต้หวันสั่งสมความเชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านระบบ ODM บริษัทในประเทศเริ่มตระหนักถึงศักยภาพในการสร้างแบรนด์ของตนเอง การเปลี่ยนผ่านจากผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์ เกิดขึ้นจากแรงผลักดันที่ต้องการลดการพึ่งพาแบรนด์ต่างชาติ และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสะท้อนคุณค่า (Value Proposition) ของบริษัท
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ ASUS ซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่ได้พัฒนาขึ้นในช่วง ODM มาสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์ ผลงานอย่าง ASUS ZenBook ซึ่งเน้นความบางเบาและประสิทธิภาพสูง ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ ASUS แต่ยังช่วยวางตำแหน่งทางการตลาดในฐานะผู้ผลิตที่เน้นนวัตกรรมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดไฮเอนด์
ในกรณีของ Acer บริษัทเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ผลิตโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์ IT ให้กับแบรนด์อื่น ก่อนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่มีราคาย่อมเยาและคุณภาพสูง กลยุทธ์นี้ทำให้ Acer สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดโลกได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่ต้องการสินค้าราคาสมเหตุสมผลแต่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยี
การต่อยอดจาก ODM สู่ OBM ยังเกี่ยวข้องกับการสร้าง Brand Identity ที่เข้มแข็งในตลาดโลก บริษัทในไต้หวันเริ่มมุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคและมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน เช่น ASUS ที่สร้างตัวตนในฐานะแบรนด์ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและการออกแบบที่น่าสนใจ หรือ Giant Manufacturing ซึ่งเป็นแบรนด์จักรยานระดับโลกที่เน้นการผลิตจักรยานที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ยังเป็นผลจากความเข้าใจในตลาดโลกที่ไต้หวันได้รับจากการทำ ODM ประสบการณ์นี้ช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวและวางกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระบบ OBM จึงไม่ได้เพียงแค่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในระดับท้องถิ่น แต่ยังเป็นการขยายขอบเขตสู่ตลาดสากลด้วยผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ในเชิงคุณภาพ นวัตกรรม และราคา
การเปลี่ยนแปลงนี้ ยังแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและการมองการณ์ไกลของบริษัทในไต้หวัน การสร้างแบรนด์ในระดับโลกไม่เพียงช่วยเพิ่มผลกำไรและมูลค่าให้กับบริษัท แต่ยังช่วยให้ไต้หวันก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลกของการผลิตและการออกแบบได้อย่างยั่งยืน
บทบาทของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผลักดันให้ไต้หวันสามารถก้าวข้ามจาก ODM สู่ OBM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนใน R&D อย่างต่อเนื่องช่วยให้บริษัทในไต้หวันสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก การที่ไต้หวันมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้ผลิต ODM ทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ในกระบวนการผลิตมาปรับใช้กับการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นอกจากนี้ บริษัทในไต้หวันยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และ 5G ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การวิจัยในด้านนี้ช่วยให้ไต้หวันสามารถสร้างโซลูชันที่ล้ำสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาระบบ Smart Home และอุปกรณ์ IoT ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของไต้หวันซึ่งได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ
การมุ่งเน้น R&D ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก เนื่องจากสินค้าภายใต้แบรนด์ของไต้หวันสามารถเสนอจุดขายที่แตกต่างและมีมูลค่าเพิ่ม เช่น การใช้วัสดุที่ทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า หรือการออกแบบที่สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคในแต่ละยุค การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ไต้หวันสามารถสร้างภาพลักษณ์ในฐานะประเทศแห่งนวัตกรรม (Innovation Hub) ที่ไม่เพียงผลิตสินค้าคุณภาพสูง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยีระดับโลก
ดังนั้น การลงทุนใน R&D ไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทแต่ละแห่ง แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยยกระดับทั้งอุตสาหกรรมการผลิตของไต้หวัน ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนและก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนผ่านจาก ODM สู่ OBM ของไต้หวัน ไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของแบรนด์ไปสู่ตลาดโลก โดยบริษัทในไต้หวันเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการตลาด การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก
ตัวอย่างสำคัญคือ Acer ซึ่งใช้กลยุทธ์ที่เน้นการสร้างแบรนด์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและราคาที่จับต้องได้ Acer ไม่ได้เพียงแค่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังพัฒนาแบรนด์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์คุณภาพในราคาประหยัด
นอกจากนี้ Acer ยังลงทุนในโฆษณาที่สื่อถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีระดับโลก เช่น CES (Consumer Electronics Show) และ IFA เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และนวัตกรรม เป็นอีกวิธีที่ Acer ใช้ในการสร้างการรับรู้และความไว้วางใจในตลาดสากล

ในเวลาเดียวกัน ASUS ได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เน้นความล้ำหน้าและความเป็นผู้นำในเทคโนโลยี ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เช่น ASUS ROG (Republic of Gamers) ซึ่งได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ใช้งานเกมมิ่งระดับโลกว่าเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านประสิทธิภาพและดีไซน์ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะตัวและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ว่าเป็นผู้นำที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า
ไต้หวันยังได้ใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) เช่น การจัดเวิร์กช็อป การสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนงานวิจัยในระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกค้าและชุมชนในตลาดต่างประเทศ การลงทุนในเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้แบรนด์ไต้หวันสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ
ภาพลักษณ์แบรนด์ในตลาดโลก ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากการสื่อสารที่สอดคล้องกันในทุกจุดสัมผัสกับลูกค้า (Touchpoints) บริษัทไต้หวันจึงมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ที่ไม่เพียงแต่สื่อถึงคุณภาพและนวัตกรรม แต่ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์ไต้หวันไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับ แต่ยังกลายเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าทั่วโลกไว้วางใจในระยะยาว
การเปลี่ยนสู่ OBM ช่วยให้ไต้หวันลดการพึ่งพาแบรนด์ต่างชาติ และเพิ่มอำนาจในการควบคุมตลาด สินค้าแบรนด์ไต้หวันเริ่มสร้างมูลค่าเพิ่มในแง่ของความน่าเชื่อถือ คุณภาพ และนวัตกรรม ส่งผลให้บริษัทสามารถตั้งราคาสูงขึ้นและสร้างผลกำไรได้มากกว่าการทำ ODM
อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าสู่ OBM จะเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ก็มีความท้าทายที่ไต้หวันต้องเผชิญ เช่น การแข่งขันในตลาดโลกอันเกิดจากการที่แบรนด์ไต้หวันต้องแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกที่มีชื่อเสียงและฐานลูกค้าขนาดใหญ่ หรือการสร้างการยอมรับของแบรนด์ให้เกิดขึ้น เพราะแม้จะมีเทคโนโลยีที่ดี แต่การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ในตลาดต่างประเทศต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง รวมถึงการรักษาคุณภาพและนวัตกรรม เนื่องจากการสร้างแบรนด์ต้องอาศัยความต่อเนื่องในด้านคุณภาพและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
การเปลี่ยนผ่านสู่ OBM ของไต้หวันได้สร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ หลายบริษัทกลายเป็นแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมของตนเอง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ไต้หวันยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น AI, IoT, และ EV เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของตน
ในอนาคต ไต้หวันมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่ไม่เพียงแต่ในด้านการผลิต แต่ยังในด้านการสร้างแบรนด์ระดับโลก ความสำเร็จจาก ODM สู่ OBM ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสามารถในการปรับตัวและการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมระดับสากล
บทความโดย: ธนกร สังขรัตน์ กรรมการผู้จัดการ Fabulous Pillar Co., Ltd. (Myanmar)
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 26 ไต้หวัน จาก OEM สู่ ODM
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 25 ไต้หวัน พัฒนา OEM สู่ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 24: ‘ไต้หวัน’ พัฒนาเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรม สู่ความสำเร็จระดับโลก
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg