ขยาย “วีซ่าฟรี” …ขยายโอกาสอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
นับเป็นหนึ่งข่าวดี ที่พอทำให้ใจฟูขึ้นมาได้ เมื่อรัฐบาลประกาศขยายมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ วีซ่าฟรี เพิ่มเป็น 93 ประเทศ จากเดิม 57 ประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศช่วง Low Season และยังเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการท่องเที่ยวในไทยและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล (Digital Nomads) รวมถึงขยายเวลาพำนักของนักศึกษาต่างชาติภายหลังสำเร็จการศึกษา 1 ปี เพื่อหางาน เดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในไทย
นี่เป็นแผนระยะสั้นในการบูมการท่องเที่ยวในไทย แต่รัฐบาลยังมีแผนระยะกลาง ซึ่งจะเริ่มใช้เดือนกันยายน-ธันวาคมนี้ อาทิ ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวระยะยาว (Long Stay) สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ประสงค์ใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย ปรับลดเงินประกันสุขภาพสำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) รหัส 0-A จาก 3,000,000 บาท เหลือ 40,000 บาท สำหรับผู้ป่วยนอก และ 400,000 บาท สำหรับผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นราคาเท่ากับก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้น
และยังมีมาตรการระยะยาว ที่เริ่มใช้เต็มรูปแบบในกลางปี 2568 โดยรัฐบาลตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 8 แสนล้านบาท-1 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าสิ้นปี 2567 รายได้รวมจากการท่องเที่ยวจะไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาท
แน่นอนครับ มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยวมากมายได้รับอานิสงส์ แต่มีธุรกิจหนึ่งที่น่าจับตา นั่นคือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism ที่เริ่มเป็นกระแสต่อเนื่องมาตั้งแต่เกิดโรคระบาด โควิด-19 ทำให้ประชากรทั่วโลกตื่นตัวเรื่องของการดูแลสุขภาพ จวบจนปัจจุบันกระแสท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และประเทศไทย กลายเป็นที่จับตามองในฐานะที่เป็นประเทศศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นประเทศที่ถูกเลือกให้เป็น Wellness Destination อันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับโดย Global Wellness Institute อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลก อันดับ 4 จากผลสำรวจของ Visa Global Travel Intentions Study เมื่อปี 2565 ด้วยเหตุผลสนับสนุน 2 ข้อหลัก คือ
- ระบบดูแลสุขภาพของไทยติดอันดับ Top 5 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ในช่วงที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงเป็นสิ่งการันตีที่ดี สร้างความเชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยมีระบบการดูแลสุขภาพที่ดี มีมาตรฐาน
- ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อประชากรต่ำที่สุดใน 10 ประเทศของโลก นั่นหมายความว่า “ประเทศไทยดีและถูก”
Global Wellness Institue ประเมินว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด เฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9% มูลค่าจะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปีนี้ (พ.ศ.2567) โดยนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีการใช้จ่ายต่อหัวมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป 58% หรือเฉลี่ย 50,000-60,000 บาทต่อครั้ง
จากข้อมูลที่ผมกล่าวมานี้ ผมเห็นโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทย เห็นโอกาสการเติบโตของแบรนด์ SMEs ไทย เพื่อเป็นของฝากให้นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อติดมือนำไปโปรโมทสินค้าไทยในประเทศของเขาเหล่านี้ ช่วยสร้างช่องทางให้สินค้าเอสเอ็มอีไทยเติบโตในตลาดโลก และเห็นโอกาสของคลินิกแพทย์แผนไทย ที่จะเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ช่วยสร้างชื่อ สร้างรายได้ให้กับประเทศ
เป็นโอกาสของ SMEs ไทย ในภาวะที่เศรษฐกิจในประเทศยังเปราะบางเพราะกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ
แต่สิ่งสำคัญที่สุด ผมขอฝากทิ้งท้ายนั่นคือ มาตรฐานการผลิต เพราะไม่เพียงทำให้ชื่อเสียงประเทศต้องเสี่ยง แต่หมายรวมถึงชื่อเสียง SMEs ไทยอาจต้องจ่ายราคาแพง กว่าจะเรียกชื่อเสียงกลับมาอีกครั้ง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- Telemedicine นวัตกรรมที่จะมายกระดับความเท่าเทียมการเข้าถึงยา 24 ชั่วโมง
- เมื่อคนไทยป่วยโรคไตไม่แพ้ชาติใด ติดท็อป 5 ของโลก!!
- 7 ทศวรรษ ‘โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี’ จากร้านยาตึกแถวสู่น้องใหม่ mai
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- Twitter: https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg