COLUMNISTS

ผู้นำที่ดีต้องมีสายตายาว

Avatar photo
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ บริษัท สลิงชอท คอนซัลทิง จำกัด
299

ทำไมประเทศฟินแลนด์ จึง ‘ฟิน’ ที่สุดในโลก

fin

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆ ในยุโรป ติดอันดับหนึ่งเรื่องความสุขของคนในประเทศจากสหประชาชาติในปีที่ผ่านมา ซึ่งวัดกันที่รายได้ สุขภาพ สังคม อิสรภาพ ความไว้วางใจ และอัตราการคอร์รัปชัน

นอกจากนี้ ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ยังเป็นที่ยอมรับว่าโดดเด่นไม่แพ้ใครในโลก นักเรียนที่ฟินแลนด์ใช้เวลาในห้องเรียนเพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน โดยในหนึ่งชั่วโมงจะเรียน 45 นาที เล่นอีก 10 นาที และแทบไม่มีการบ้าน!

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ก้าวกระโดดขึ้นมา คือ นโยบายที่ว่า ระบบการศึกษาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัยและข้อมูล

เมื่อเดือนที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับบริษัทที่ปรึกษาเอกชนแห่งหนึ่งที่ทำแพลตฟอร์มดิจิทัล ในการรวบรวมเทรนด์โลกอนาคตต่างๆ แบบเรียลไทม์ (Real-Time) ที่ตั้งอยู่ในประเทศฟินแลนด์ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาเป็นกลุ่มราชการและสถาบันการศึกษาจริงๆ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการที่ผู้นำต้องมีสายตายาวไกล มองเห็นอนาคต และนำมาปรับใช้ทันทีที่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้

พอฟังอย่างนั้น จึงได้โอกาสเลือกเทรนด์ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลจากทีมวิจัยแบบเรียลไทม์ของบริษัท FuturesPlatform นี้ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง

เทรนด์หลักๆ ที่จะเล่าวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ อนาคตของการทำงาน (Future of Work) ที่คงจะใกล้ตัวคนทำงานอย่างเราๆ มากที่สุด 5 อย่างให้ท่านได้ลองนำไปปรับแผนอนาคตกันดูค่ะ

มนุษย์จะพูดได้ทุกภาษา

การต้องทำงานกับคนต่างชาติ หรือเดินทางไปต่างประเทศทั้งๆ ที่ภาษาไม่แข็งแรง คงเป็นความกังวลในใจของใครหลายคน แต่ปีที่ผ่านมา คนที่มีสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่คงใจชื้นขึ้นจากการมีตัวช่วยด้านภาษาอย่าง Google Translate หรือ WeChat เข้ามาช่วย ทำให้การเดินทาง การทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ต้องติดต่องานง่ายขึ้นเพียงแค่พูดผ่านโปรแกรมแปลภาษาเหล่านี้ ก็จะทำหน้าที่เป็นวุ้นแปลภาษาให้เราทันที

ถึงแม้ปัจจุบันระบบเหล่านี้จะยังแปลความหมายให้เราแบบตรงเป๊ะจนคนอ่านต้องสะดุ้ง แต่ machine learning จะทำให้มันเก่งขึ้นทุกวันได้ในไม่เกินรอ เห็นอย่างนี้แล้วคงจริงไม่น้อยที่อนาคตความต้องการทักษะด้านภาษาแบบตรงๆ จะลดลง

ใครที่กำลังจุดแข็งจากการที่พูดได้มากกว่า 3 ภาษา 5 ภาษา ตอนนี้คงร้อนๆหนาวๆ ต้องรีบพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงโดยด่วน

กูรูเบอร์หนึ่งคนใหม่

เชื่อหรือไม่ว่าเหล่ากูรูทั้งหลายจะถูกแทนที่ด้วยเทพอย่าง กูเกิล machine learning หรือแม้แต่โซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยความรู้แบบเรียลไทม์ เพราะโลกเปลี่ยนเร็วมาก

ปัญหาหนักอกของบรรดากูรูคงหนีไม่พ้นว่าจะทำอย่างไรที่จะถีบตัวเองขึ้นเป็นอยู่เหนือพีระมิดขององค์ความรู้ได้ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีข้อมูลอัพเดทตลอดเวลา ไม่มีลิมิตหน่วยความจำ แถมยังต้องแชร์ข้อมูลให้แบบฟรีๆ อีกด้วย

ดังนั้น ใครที่ทำธุรกิจที่ขายความรู้คงต้องปรับตัวมิใช่น้อยในการอยู่รอดในฐานะกูรูคนใหม่

robots
ภาพ : Pixabay

อนาคตที่ไม่มีงานประจำ

ในปี 2040 มีคำทำนาย (ที่น่าจะจริง) ว่า โลกจะถูกควบคุมโดยหุ่นยนต์ และมนุษย์ 90% จะไม่ต้องทำงานประจำ โดยที่ยังสามารถสร้างสินค้าและบริการที่สุดยอดออกมาได้อยู่ ดังนั้นการวัดผลงานที่ใครทำงานเก่ง

กว่าหรือบริหารลูกน้องได้ดีกว่าอาจไม่พอ แต่ใครที่มีหุ่นยนต์เหล่านี้ไว้ในครอบครองและสามารถสร้างผลผลิตได้มากกว่าต่างหากที่จะเป็นอนาคต

ห้องเรียนที่ไม่ได้มีแค่คุณครู

World Economic Forum ได้ทำนายไว้ว่า ในปี 2030 เราจะเรียนจากหุ่นยนต์ได้เร็วขึ้นสิบเท่าของปัจจุบัน โดยโรงเรียนนำร่องอย่าง Ecole 42, Hive, Mitra, หรือ Freemont ในซิลิคอน วัลเลย์ เป็นตัวอย่างของการเรียนแบบใหม่ โดยผู้เรียนใช้อินเทอร์เน็ตแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงผ่านการทำงานเป็นทีมให้กับบริษัทต่างๆ แถมตอนจบยังไม่มีใบประกาศนียบัตรให้ด้วย แต่นักเรียนของ Ecole 42 ทั้งหมดกลับได้รับการจ้างงานทันที หรือบางคนยังไม่ทันเรียนจบด้วยซ้ำ ดังนั้นโมเดลนี้ควรค่าแก่การจับตามองมากๆ

บริการยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนทำงาน

จะดีไหม ถ้ามีธุรกิจใหม่ที่ให้บริการยกระดับชีวิตคนทำงานอย่างเราๆ

ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยคงได้เห็นบริการครบวงจรจากธุรกิจต่างๆ ที่ยกขบวนมาเอาใจคนรักสบาย เช่น ซื้อบ้านพร้อมบริการทำความสะอาด ทำสวน ทำอาหาร จ่ายบิล หรือแม้กระทั่งคนขับรถรายเดือน ไม่ต้องยุ่งยากคอยหาเองอีกต่อไป

บริการที่ทำให้การเดินทางของคุณง่ายขึ้นมากในแอพพลิเคชันเดียว เช่น เรื่องเงินๆ ทองๆ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการเช่าที่พัก เป็นสิ่งที่เริ่มเห็นมากขึ้นจากสถาบันการเงินและบริษัทต่างๆ ทำให้เราสามารถเลือกซื้อแพคเกจคุณภาพชีวิตที่ต้องการได้ และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคนทำงานได้ง่ายขึ้น และคงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น โดยการจะทำโมเดลนี้ให้สำเร็จ หลายธุรกิจเริ่มมองหาพาร์ทเนอร์ใน ecosystem เดียวกันเพื่อเชื่อมโยงบริการเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้วในปีที่ผ่านมา

ดิฉันเชื่อว่า ผู้นำไทย หากเราจะพัฒนาตัวเองให้ไปไกลระดับโลก เราคงต้องมีคอนแทคเลนส์ที่แก้จากสายตาสั้นให้เป็นสายตายาว เป็นเรดาร์คอยตรวจจับเทรนด์เหล่านี้เหมือนกับที่ผู้นำระดับโลกเขามองเห็นกัน

ที่สำคัญคือการเห็นแบบเดียวกันทั้งทีมผู้บริหาร ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง และนำสิ่งที่เห็นมาลงมือทำให้เร็วและดีกว่าเขา นี่เป็นหัวใจสำคัญ

อ่านถึงตรงนี้ สายตาเริ่มยาวหรือยังคะ