CEO INSIGHT

ส่อง อสังหาฯ ปี64 ผ่านมุมมอง ‘เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้’ ตั้งเป้า3 ปีขึ้นท็อปไฟว์

อสังหาฯ ปี64 คาดแนวราบยังแข่งดุ จากทุกบริษัทมุ่งสร้างทางโต ชดเชยปีนี้ที่กระทบหนัก ด้านเฟรเซอร์มุ่งโตต่อ ดันขึ้นอันดับ 3 ผู้นำตลาดปี 66

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า ยังมีการแข่งขันสูง โดยมองว่า อสังหาฯ ปี64 ตลาดแนวราบ ยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแห่ทำโปรโมชั่น อย่างดุเดือด

อสังหาฯ ปี64

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการทุกบริษัท ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในปีนี้ จากไวรัสโควิด-19 ต่างต้องการเติบโต สร้างยอดขายในปีหน้าเพื่อมาชดเชยปีนี้ ขณะที่ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ จะเป็นตัวส่งเสริมความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้า มองว่า จะเติบโตขึ้นจากปีนี้ ที่หดตัวลงมาก แต่หนี้สินครัวเรือนยังคงสูง และสถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้เกิดความไม่แน่นอน ทำให้เกิดการชะลอซื้อ

ในสภาวะแบบนี้ ผู้ประกอบการจึงต้องมีความรอบคอบ และแม่นยำ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งต้องปรับตัวและตอบรับให้ทันกับทุกสถานการณ์ จึงกล่าวได้ว่า นับจากนี้ จะเป็นยุคของมืออาชีพอย่างแท้จริง

ในส่วนของ เฟรเซอร์ฯ นั้น หลังจาก  เข้าซื้อกิจการของ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย โกลเด้นแลนด์ จึงได้เปลี่ยนมาเป็น “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” และยังคงเป็นผู้นำอันดับ Top 5 ของประเทศ สำหรับกลุ่มธุรกิจเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีโครงการที่พักอาศัยคุณภาพสูงรวม 60 โครงการ

ด้านผลการดำเนินงาน เฉพาะกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เดือนมกราคม – กันยายน 2563 มียอดรับรู้รายได้ 1.08 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ายังเป็นที่น่าพอใจ สำหรับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในสถานการณ์ โควิด-19 เช่นนี้ โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ถึงสิ้นปี 2563 เกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.52 หมื่นล้านบาท

ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 3 โครงการ เป็น นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ และทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ซึ่งยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า

นีโอโฮม

นอกจากนี้ บริษัทยังได้วางพันธกิจหลักในช่วง 3 ปี (ปี 2564-2566) รวม 4 พันธกิจ ได้แก่

  • การก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 3 ด้านรายได้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายได้กว่า 2 หมื่นล้านบาทหรือแตะ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2566
  • การเป็นทางเลือกอันดับ 1 ในใจลูกค้า ที่มองหาทาวน์โฮม ทำเลในเมือง
  • เน้นการทำบ้านแฝด (นีโอ โฮม)
  • ขยายตลาดต่างจังหวัด เพื่อเป็นผู้นำด้านยอดขายสูงสุดในต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และพัทยา สามารถทำยอดขายในวันเปิดจองได้สูงกว่า 500 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปี 63 พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ 24 โครงการ มูลค่ารวม 2.98 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท นีโอ โฮม บ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท

ด้านงบซื้อที่ดินในปี 2564 บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินใหม่ นำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมด 20 แปลง ซึ่งบริษัทจะแบ่งงบซื้อที่ดินส่วนหนึ่ง มาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมเองวงเงิน 2,000 ล้านบาท

จากเดิมบริษัทจะเน้นการซื้อโครงการคอนโดมิเนียม ของผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามา แต่ด้วยราคาเสนอขายที่อยู่ในระดับสูง และอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ทำให้บริษัทปรับแผนมาพัฒนาเอง

ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 64 อย่างน้อย 1 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางเมตร เจาะกลุ่มลูกค้าที่ทำงานในเมือง รายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทได้ปรับลดสัดส่วนของกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมลงมาค่อนข้างมาก จากปีนี้ที่ 50% มาเป็น 42% ในปี 64 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มระดับกลาง ที่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นหลัก

“กลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ถดถอยหลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งกระทบต่อรายได้ของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว และเมื่อลูกค้ายื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ถูกปฏิเสธสินเชื่อเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 32% จากเดิมที่ 30%”นายแสนผิน กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo