เปิดมุมมอง “แม็กนัส มูลเลอร์” ผู้บริหาร ดีแทค เชื่อมั่นเอสเอ็มอีไทย ใจสู้ พร้อมฝ่าวิกฤติรุมเร้า ส่ง ดีแทค บิสิเนส พัฒนา 3 โซลูชั่น และบริการใหม่ “วันคอล” เสริมแกร่งเอสเอ็มอี
กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ไม่น้อย เห็นได้จากการที่ รัฐบาลงัดมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย ให้สามารถฝ่าฟันวิกฤติและอยู่รอดต่อไปได้ เช่นเดียวกับ ดีแทค เชื่อมั่นเอสเอ็มอีไทย และพร้อมสนับสนุนการก้าวผ่านวิกฤติไปให้ได้
ดีแทค นับเป็นอีกหนึ่งองค์กร ที่มองเห็นความสำคัญของเอสเอ็มอีไทย และมุ่งคิดค้นพัฒนาบริการต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำธุรกิจของเอสเอ็มอีไทย “ง่าย และ สบายใจ” มากขึ้น
แม็กนัส มูลเลอร์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานธุรกิจลูกค้าขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ทำงานคลุกคลีกับเอสเอ็มอี ในประเทศนอร์เวย์ และ เอสเอ็มอีไทยในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ดีเอ็นเอของเอสเอ็มอี จะเหมือนกันคือ การเป็นนักสู้ และลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มีความเป็นเจ้าของกิจการสูง และมีแรงขับเคลื่อนในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ธุรกิจเติบโต
การให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีของดีแทค สะท้อนได้จาก การจัดตั้งกลุ่มธุรกิจองค์กร หรือ ดีแทค บิสิเนส (dtac Business) ขึ้น เมื่อเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา เพื่อองค์กรธุรกิจและ เอสเอ็มอีไทย สู้วิกฤติเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถช่วยให้การทำธุรกิจของเอสเอ็มอีสะดวก ง่าย สบายใจ และทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
แม็กนัส มูลเลอร์ เล่าว่า จากการฟังเสียงลูกค้า เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอี และนำมาพัฒนาโซลูชั่น และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของเอสเอ็มอีอย่างตรงจุด ทำให้ ดีแทครู้ว่า สิ่งที่เอสเอ็มอีไทย ต้องการคือ การทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และต้องการความเท่าเทียม
pain point หนึ่งที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกไม่เท่าเทียม ระหว่างลูกค้าเก่ากับลูกค้าใหม่ ที่มักได้สิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน เนื่องจากค่ายมือถือ ต้องการดึงลูกค้าใหม่ ทำให้พยายามให้สิทธิประโยชน์กับลูกค้าใหม่มากกว่า ลูกค้าเดิม ซึ่งดีแทคมองเห็น และยึดมั่นว่า การดูแลหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิม ต้องเท่าเทียมกัน เพื่อแก้ pain point ดังกล่าว
สิ่งที่ ดีแทค บิสิเนส ได้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย คือ การนำเทคโนโลยีมาช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เส้นทางดิจิทัล เพื่อความสะดวกสบาย ให้เอสเอ็มอีสามารถใช้เวลาไปจัดการเรื่องธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดความยุ่งยาก ในการติดต่อสื่อสาร และสนับสนุนการทำงานให้ง่ายขึ้น ผ่าน 3 โซลูชั่น ฮีโร่ที่จะช่วยตอบโจทย์ธุรกิจไทย ได้แก่
1. Mobility solutions: ซิม WorryFree แพ็กเกจอัพเกรด ที่คุ้มค่าทั้งลูกค้าใหม่และปัจจุบัน เพื่อแก้ pain point ที่ลูกค้าปัจจุบันต้องพบเจอ เรื่องความไม่เท่าเทียม เนื่องจากลูกค้าใหม่จะได้โปรโมชันที่ดีกว่าเสมอ
ดังนั้น ซิม WorryFree นอกจากจะเป็นแพ็กเกจโทรฟรี 24 ชั่วโมงทุกเครือข่าย ที่มอบให้แล้ว ลูกค้า ดีแทค บิสซิเนส ที่ใช้ซิม WorryFree จะได้อัพเกรดแพ็กเก็จโทรศัพท์ ที่เพิ่มปริมาณดาต้า โดยไม่ต้องสมัครเพิ่ม สำหรับองค์กรที่เป็นลูกค้าดีแทคปัจจุบัน
2. IoT Solution : เพื่อการบริหารจัดการองค์กร ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. คลาวด์โซลูชั่น SmartConnect : เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน และความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล
นอกจากนี้ ภายใต้ Mobility โซลูชั่น ยังรวมถึง อุปกรณ์สื่อสาร (Device Care) และ Virtual PBX สำหรับกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะ ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจสามารถบริหารค่าโทร และอินเทอร์เน็ต ได้อย่างคุ้มค่า ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
ล่าสุด ดีแทค บิสิเนส ยังได้พัฒนาบริการใหม่ ภายใต้ชื่อ วันคอล (OneCall) ให้ลูกค้าติดต่องานได้ทุกที่ ตอบรับกระแส Work From Anywhere โดยเป็นระบบที่เพิ่มความสามารถให้โทรศัพท์มือถือ กลายเป็นโทรศัพท์สำนักงาน ด้วยฟังก์ชันการโทรเข้า รับสาย ได้เหมือนมีตู้ระบบ แต่เป็นตู้ระบบนคลาวด์ ทำให้ไม่ต้องเดินสาย และยังทำงานได้ประสิทธิภาพเหนือกว่า ด้วยงบประมาณที่คุ้มค่า
ทั้งนี้ เพราะนอกจากสามารถรับสายลูกค้าได้จากทุกที่แล้ว ยังมีฟีเจอร์ที่ทำให้ทีมงาน ติดต่อสื่อสารร่วมกันได้อย่างราบรื่นและสะดวกขึ้น โดยทั้งหมดนี้ใช้เพียงแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว
“แม้สถานการณ์โควิดจะผ่อนคลายลง แต่สถานการณ์เศรษฐกิจไทย และการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ และ เอสเอ็มอี ยังไม่ฟื้นตัว หลายธุรกิจได้ปรับตัวให้สามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลาในระยะยาว ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ต่างก็มองหาเครื่องมือและวิธีการ ที่จะช่วยให้การทำงานง่าย ประหยัดต้นทุน และยังได้ผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนการทำงานในแบบดิจิทัล”
ปัจจุบัน ปัญหาการติดต่อกับลูกค้าของบริษัทขนาดเล็ก คือ เวลาลูกค้าโทรเข้ามาติดต่อที่บริษัท นอกเวลาทำการ จะไม่มีคนรับสาย หรือการรับสาย ก็ดูไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ถ้าต้องใช้คนรับสายหรือลงทุนเทคโนโลยีด้านนี้ ก็รู้สึกไม่คุ้มค่า
บริการ วันคอล เป็นการใช้ Native-Dialer ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า VOIP Cloud PBX ทั่วไป ติดตั้งเร็วและง่ายสามารถ Customized ฟังก์ชันได้ตามความต้องการของลูกค้า ประหยัดค่าใช้จ่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 149 บาท ต่อเดือน
สำหรับคุณสมบัติเด่นของบริการ วันคอล ได้แก่ ระบบตอบรับอัตโนมัติ (IVR) เชื่อมต่อทีมงานผ่านระบบประชุมสาย พร้อมระบบแชท (Instant Messaging) มีระบบแอดมินที่สามารถตั้งค่า และดูรายงานการใช้งานโทรศัพท์ และฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย
ธุรกิจแบบไหน เหมาะในการใช้ ดีแทค วันคอล
1. ธุรกิจที่ต้องมีคอลเซ็นเตอร์ โดย ดีแทค วันคอล มีฟีเจอร์รองรับการทำงานของคอลเซ็นเตอร์ ได้อย่างครบถ้วน ลดปัญหาที่ทำให้ลูกค้าต้องรอสายนาน สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
2. ธุรกิจที่ต้องใช้ทีมพนักงานขายเป็นหลัก ช่วยให้ทีมพนักงานขาย รับสายลูกค้าที่โทรเข้าเบอร์กลางได้ ทุกที่ทุกเวลา เพราะการพลาดหนึ่งสาย อาจหมายถึงการเสียรายได้ของธุรกิจ
3. ธุรกิจที่มีหลายแผนก สามารถติดตั้งระบบตอบรับอัตโนมัติให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างไม่สับสน และสามารถโอนสายไปยังแผนกอื่นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องให้ลูกค้ารอนาน
พร้อมกันนี้ ดีแทค บิสิเนส ยังได้เปิดตัวบริการ self-service เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล โดยการเปิดตัวบริการ E-care และ E-Store ที่ให้ลูกค้าธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยน จัดการแพ็กเกจและการจ่ายค่าบริการต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง รวมถึง Business call center เพื่อให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่าย สบายใจ
“เอสเอ็มอีไทย มีความสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ได้เช่นกัน และดีแทค พร้อมที่จะเป็นตัวช่วยให้เอสเอ็มอีไทย ฝ่าวิกฤติและอยู่รอดได้อย่างแข็งแรงในระยะยาว ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยอย่างไม่หยุดยั้ง” แม็กนัส กล่าวปิดท้าย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดโผรางวัลเครือข่ายมือถือ ดีแทคดาวน์โหลดเร็วสุด เอไอเอสคว้า 4 หมวด ทรูกำชัยด้านวิดีโอ
- หมอช้าง เปิด 3 ทฤษฎี ‘เบอร์มงคล’ ดีแทคจัดให้ เฉพาะคุณ
- กำจัด ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ‘ดีแทค’ กับเป้าหมาย ‘ZERO Landfill’ ภายในปี 2565
