Properties

‘อนันดา’ มั่นใจคอนโดติดรถไฟฟ้ายังโต ลุยเปิดปีนี้ 3.8 หมื่นล้าน

ยังคงยืนยันหนักแน่น ที่จะขยายการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า ตามเป้าหมายหลักของบริษัท แม้จะมีหลายสำนักออกมาระบุตัวเลขว่า ตลาดคอนโดเริ่มโอเวอร์ซัพพลาย แต่สำหรับเบอร์หนึ่งผู้พัฒนาคอนโดแนวรถไฟฟ้าอย่าง บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เชื่อว่าตลาดยังไปได้ แต่ที่สำคัญต้องเป็นทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้า ตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง

แผนลงทุนของบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ในปี 2562 ที่จะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการมูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท จึงเป็นคอนโดมิเนียมถึง 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 35,260 ล้านบาท ที่เหลืออีก 2 โครงการเป็นแนวราบ มูลค่ารวม 2,740 ล้านบาท

ชานนท์ เรืองกฤตยา
นายชานนท์ เรืองกฤตยา

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอนันดาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมาย ผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า หลังจากเป็นผู้บุกเบิกตลาดนี้มาตั้งแต่แรก และยังให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจนี้ ด้วยความระมัดระวังโดยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตลอดเวลา พร้อมมีกระแสเงินสดในมือกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปลงทุนเพิ่มเติม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สโลแกน Built to Last ตั้งแต่ปี 1999 (2542) ถึงปัจจุบัน

โดยแผนงานในปี 2562 บริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์พัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น และยังคงได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตร บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ในการร่วมทุนหลังจากร่วมลงทุนกันมาตั้งแต่ปี 2013 (2556) ถึงปัจจุบัน ทำให้บริษัทเป็นอันดับหนึ่งที่มีมูลค่าการร่วมทุนสูงที่สุดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย คือ 1.28 แสนล้านบาทจาก 30 โครงการ และในปี 2562 อนันดายังมีโครงการร่วมทุน 7 ใน 10 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ด้วย

เป้าเปิดตัวปี 2562

นอกจากนี้ ยังมีแผนกระจายช่องทางรายได้ โดยการเพิ่มพอร์ตธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) โดยได้ร่วมทุนกับมิตซุย พัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ไปแล้ว 4 โครงการโดยดึง “ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด” ผู้บริหารธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่เข้ามาบริหาร และมีแผนพัฒนาเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์รวม 6 โครงการ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 20% ภายในปี 2021 (2564)

โดยปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 5 โครงการ ได้แก่

  1. Somerset Rama 9
  2. Ascott Embassy Sathorn
  3. AscottThonglor
  4. LYF Sukhumvit 8
  5. โครงการล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินการ ที่ชายหาดพัทยากลาง

ซื้อหุ้น ‘ดุสิต’-ศึกษาลงทุนอสังหาฯเวียดนาม

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท ดสุิตธานี จำกัด(มหาชน) หรือ DTC จำนวน 42.5 ล้านหุ้นน คิดเป็น 5% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้ว ในราคาห้นุละ 12 บาท มูลค่ารวม 510 ล้านบาท เพื่อการลงทนุระยะยาว ซึ่งนายชานนท์ เผยว่าอาจจะต่อเนื่องไปกับ แผนขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมในอนาคต ซึ่งยังไม่สรุปในรายละเอียด

พร้อมกันนี้ นายชานนท์ เผยว่า บริษัทกำลังศึกษาตลาดอสังหาฯในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งอาจเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทแม่ของ ดิ แอสคอทฯ คือเคปเปล แลนด์ สิงคโปร์ ในการขยายลงทุนอสังหาฯในประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและต้องการการพัฒนาใหม่ๆ เข้าไปในพื้นที่

โครงการร่วมทุน2561

 

ส่วนในปี 2561 บริษัทมีโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น 5 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท คือ ไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่ ไอดีโอรัชดา-สุทธิสาร เอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสพอยท์ และโครงการคอนโดมิเนียมย่านสะพานควาย ทั้งยังร่วมพัฒนาโครงการร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง โดยการลงทุนในธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการดังกล่าว มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 10,000 ล้านบาท

บริษัทตั้งเป้าพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 1.57 แสนล้านบาท ในปี 2562จากปี 2561 ที่มีมูลค่า 1.28 แสนล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯสามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ

นอกจากนี้ในปี 2561 บริษัทประสบความสำเร็จในการทำสถิติยอดขายใหม่ (นิวไฮ) การขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า โดยมียอดขายถึง 10,000 ล้านบาท ในปี 2561 ซึ่งเติบโตขึ้น 4% จากปีก่อน

ยอดโอนปี 2561

ในส่วนของยอดโอน ปี 2561 เป็นปีที่มียอดโอนสถิติสูงสุดถึง 33,000 ล้านบาท เติบโต 120% จากปีก่อนหน้า โดยมียอดโอนในส่วนของลูกค้าต่างชาติ สูงสุดเช่นกันที่ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% จากปีก่อนหน้า และในส่วนของแบคล็อก (สินค้าขายแล้วรอโอน) ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 41,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตของยอดโอนในอีก 3 ปีข้างหน้า

สต็อก 1.6 หมื่นล้านรอขายภายใน 3 ปี

สำหรับสต็อกสินค้ารอขาย ปัจจุบันมียอด 16,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าจะขายออกไปได้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งโดยปกติอัตราการขายคอนโดของบริษัททำได้กว่า 90% ของสต๊อกสินค้าภายใน 3  ปีนับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ โดยสินค้าเกือบ 70% ของสต็อก เป็นโครงการคอนโดมิเนียม

แผนธุรกิจปี 2562

ส่วนแผนดำเนินงานในปี 2562 บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ากว่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42% โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น14% อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท จาก 31,500 ล้านบาท ในปีก่อน และตั้งเป้ายอดโอนเติบโต 9% จากปีก่อน อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท โดยในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 10 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2561 ซึ่งมีคอนโดlร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกว่า 10 โครงการ

สำหรับโครงการไฮไลท์ในปีนี้ ที่จะเปิดในเดือนพฤษภาคม 2562 คือ โครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย อยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย (0 เมตร) บนที่ดินขนาด 5 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,114 ห้อง มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อาคาร อาคารเอ มีจำนวนห้อง 396 ห้อง อาคารบี มีจำนวนห้อง 287 ห้อง และอาคารซี มีจำนวนห้อง 431 ห้อง และมีร้านค้าปลีก 5 ร้าน จุดเด่นของโครงการ คือ ติดรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการพัฒนามาจาก Urban – Human – Nature (เมือง – คน -ธรรมชาติ)

อีกโครงการคือ เซอร์วิส อพาร์ทเม้นต์ ทั้ชายหาดพัทยากลาง บนที่ดินประมาณ 4 ไร่ มีจำนวนห้องพัก 324 ห้อง มูลค่าโครงการเกือบ 2,000 ล้านบาท

Avatar photo