องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านการท่องเที่ยว (Tourism Landscape) จะเห็นชัดขึ้นในปี 2563 ทำให้นักเดินทางทั่วโลกกว่า 1,600 ล้านคน เข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถึง 416 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 โดยมีประเทศไทยเป็นปลายทางสำคัญ
ข้อมูลดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะส่งผลบวกสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปีนี้ แต่จากปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งภายในและภายนอกประเทศ กลับทำให้สถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปีนี้ ยังไม่มีสัญญานการฟื้นตัวที่ชัดเจน ในทางกลับกัน หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่า ภาพรวมปีนี้ จะใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ผ่านมา หรือกล่าวได้ว่าอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
หากมองภาพรวมในปี 2562 ตัวเลขจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ประเทศไทยน่าจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.06 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4% จากปี 2561 โดยแบ่งเป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.77 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4% สร้างรายได้ประมาณ 1.96 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4% เช่นกัน
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหรือตลาดไทยเที่ยวไทย จะอยู่ที่ระดับ 167 ล้านคนครั้ง ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% และสร้างรายได้มูลค่า1.10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
ขณะที่ในปี 2563 นี้ ททท.ตั้งเป้าหมายว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ผ่านมา โดยตลาดต่างประเทศคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 40.8 ล้านคน เติบโต 2.5%และสร้างรายได้ประมาณ 2.02 ล้านล้านบาท เติบโต 3% และหากสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น ปัจจัยลบคลี่คลาย อาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 42 ล้านคน
ส่วนตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือไทยเที่ยวไทย คาดว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศประมาณ 172 ล้านคนครั้ง เติบโต 3% เกิดการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศไทยเป็นมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 5% ส่งผลให้เกิดรายได้รวม ประมาณ 3.18 ล้านล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4%
“ตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดี คือ ตลาดในกลุ่มประเทศใน CLMV, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, เกาหลี, ไต้หวัน, อินเดีย, สเปน, ยุโรปตะวันออก, อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา”นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์
นอกจากนี้ ยังมีหลายตลาดที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อาทิ จีน, สิงคโปร์ และตะวันออกกลาง ส่วนตลาดที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ได้แก่ ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, ยุโรป, สแกนดิเนเวีย, ออสเตรเลีย และละตินอเมริกา
สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ยังได้เปิดเผยยอดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางผ่านสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองปี 2562 พบว่า นักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 3,125,705 คน ลดลง 2.07% จากปี 2561 อยู่ที่ 3,191,662 คน, นักท่องเที่ยวเวียดนาม 319,9923 คน ลดลง 1.38% จากปี 2561 อยู่ที่ 324,387 คน, นักท่องเที่ยวอินเดีย 279,171 คน เพิ่มขึ้น 3.65% จากปี 2561 อยู่ที่ 269,331 คน, นักท่องเที่ยวเกาหลี 221,268 คน ลดลง 11.51% จากปี 2561 อยู่ที่ 250,064 คน และ นักท่องเที่ยวญี่ปุน 175,850 คน ลดลง 4.18% จากปี 2561 อยู่ที่ 183,515 คน
ด้านนายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คาดการณ์ว่า ในปี 2563 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 40.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.73% จากปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 39.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.78% จากปี 2561 สร้างรายได้จำนวน 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.78% จากปี 2561 คาดว่าจะสร้างรายได้ 2.05 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.9% จากปี 2562 ที่มีรายได้ 1.93 ล้านล้านบาท
“ปี 2563 นี้ คาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยน่าจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงเป็นปัญหา” นายชัยรัตน์กล่าว
ในส่วนของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจะอยู่ที่ 40.5-40.9 ล้านคน ขยายตัวประมาณ 2%-3% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 6 ปี และจะเป็นการเติบโตเฉพาะบางตลาด โดยหลักจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะใกล้อย่างภูมิภาคเอเชีย ขณะที่นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นๆ เช่น ยุโรป โอเชียเนียและตะวันออกกลาง ยังมีแนวโน้มที่ปรับลดลง
ในส่วนของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้อ กอปรกับเทรนด์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่าการซื้อสินค้า การแข่งขันธุรกิจที่พัก วันพักที่สั้นลง รวมถึงนักท่องเที่ยวหลักส่วนใหญ่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ ซึ่งมีผลทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะมีมูลค่า 1.97 – 1.99 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% – 2.5% จากปี 2562
จะเห็นได้ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ มีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็น เงินบาทที่แข็งค่า อัตราแลกเปลี่ยน ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวในระดับโลก รวมถึงในประเทศไทย รวมถึงกิจกรรมระดับโลก ที่อาจดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หันสู่จุดหมายปลายทางอื่น ๆ เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น, การจัดเวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบท่องเที่ยวไทย จนกล่าวได้ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ก็ยังพอมีปัจจัยบวกให้เห็น เช่น มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล 16 มาตรการ อาทิ การเพิ่มร้านค้าและจุดคืนภาษี (VAT refund), การขยายเวลาเปิดด่านชายแดนมาเลเซีย และลาว เป็น 24 ชั่วโมง ในช่วงวันหยุด, การขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (VOA) รวมถึงมีการขยายการเส้นทางบินใหม่หลายเส้นทาง
จากภาวะตลาดที่มีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ต้องเร่งปรับตัวรับมือ
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้คำแนะนำว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ผู้ประกอบการต้องนำมาใช้เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์
สำหรับ 5 นวัตกรรมสำคัญและจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2563 ที่น่าสนใจและควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้แก่
- AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) การนำเสนอข้อมูลเชิงเสมือนที่ผสมผสานกับโลกของความเป็นจริง โดย AR และ VR เป็นเทคโนโลยีที่หลายอุตสาหกรรมกำลังค้นหาวิธีใช้งาน ส่วนในวงการท่องเที่ยวได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้ AR ทั้งการฉายภาพทิวทัศน์ในระบบ 3 มิติเพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นก่อนนำมาตัดสินใจในการเลือกเดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ เช่น ร้านอาหาร ที่พัก การนำมาใช้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ เป็นต้น
- บล็อกเชน เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความแม่นยำและปลอดภัยของข้อมูล โดยมีแนวคิดว่าบล็อกเชนอาจนำมาใช้กับการยืนยันตัวตนที่สนามบิน การชำระเงินในต่างประเทศ หรือความโปร่งใสของรีวิวจากนักท่องเที่ยว
- Recognition เทคโนโลยีเพื่อการจดจำ ทั้งการจดจำข้อมูลด้วยใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือดวงตา ซึ่งการจดจำข้อมูลของนักท่องเที่ยวนี้จะทำให้การบริการมีศักยภาพที่ดีขึ้น เช่น โรงแรม เลานจ์ หรือสายการบินสามารถใช้ข้อมูลนี้ เพื่อคัดกรองแขกประจำที่สามารถเข้าไปใช้บริการพื้นที่พิเศษ หรืออาจใช้เพื่อตรวจจับผู้โดยสารหรือแขกที่มักจะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อให้พนักงานเตรียมรับมือได้ทัน
- สมาร์ทโฟน จากปัจจุบันนักท่องเที่ยว 45% ใช้สมาร์ทโฟนดำเนินการทุกอย่างที่เกี่ยวกับแผนท่องเที่ยว เพื่อให้กิจกรรมต่างๆมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้สมาร์ทโฟนเป็นโจทย์ที่ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาทางตอบสนอง เช่น ในระบบสายการบินควรจะมีบริการหรือแพลตฟอร์มที่ช่วยลดความยุ่งยากทางด้านเอกสาร บริการจองที่พักหรือร้านอาหารที่ต้องพัฒนาระบบจองคิว รวมทั้งแอพพลิเคชั่นนำเที่ยวที่ต้องมีการให้ข้อมูลเชิงลึกผ่านภาพ วิดีโอ หรือข้อความ
- ผู้ช่วยเสมือนอัจฉริยะ ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ Siri หรือ Alexa แต่เป็นผู้ช่วยที่ฝึกฝนมาเพื่อช่วยเหลือหรือให้ประสบการณ์เฉพาะเกี่ยวกับการท่องเที่ยว พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวว่าสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัย และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
เมื่อผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยว ต้องเผชิญความท้าทายและฝ่าปัจจัยลบที่เกิดขึ้น นอกจากการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน การเจาะตลาดในประเทศที่มีแนวโน้มเที่ยวไทยสูงขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี อินเดีย และลูกค้าจีนที่ยังเป็นกลุ่มหลัก เป็นต้น