โซเชียลมีเดีย ยังคงเป็นสื่อใหม่ที่ทรงอิทธิพลในยุคที่ผู้คนใช้เวลาอยู่บนมือถือ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดนำมาใช้เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย แต่สิ่งสำคัญคือ การเลือกใช้แพลตฟอร์มไหน ถึงจะตรงกับความต้องการของแบรนด์ที่จะสื่อสารออกไป และถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้เลือกมากมาย
แน่นอนว่า โซเชียลมีเดียยอดนิยมของคนไทย ยังคงไม่พ้น เฟซบุ๊ก ไลน์ และทวิตเตอร์ รวมไปถึง อินฟลูเอนเซอร์ ที่เป็นคนใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ แต่การเลือกใช้สื่อก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสมทั้งคาแรคเตอร์ของโซเชียลมีเดียแต่ละชนิด กลุ่มผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย รวมถึงคาแรคเตอร์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องแมชชิ่งกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลอันดับหนึ่งในประเทศไทย เผยถึงเทรนด์การใช้โซเชียลมีเดียในปีนี้และแนวโน้มนับจากนี้ว่า ปัจจุบัน ทวิตเตอร์ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มาแรง เห็นได้จากการโพสต์ข้อความผ่านช่องทางทวิตเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับภาพรวมการแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียในไทยปีนี้ที่เติบโตมากกว่าคาดการณ์
ทั้งนี้เห็นได้จากเมื่อต้นปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้ จะมีการโพสต์ข้อความรวม 6,300 ล้านครั้งหรือเพิ่มขึ้น 19% จากปี 2561 แต่พบว่าเพียง 10 เดือน มีการโพสต์ข้อความถึง 6,300 ล้านครั้งแล้ว จึงปรับเป้าหมายใหม่ว่าปีนี้จะมีการแชร์ข้อมูลรวม 7,200 ล้านครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 41% จากปีที่ผ่านมา
สาเหตุที่ทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความเพิ่มสูงกว่าโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในปีนี้ เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่แชร์ง่าย แชร์ได้เร็ว คอนเทนต์อยู่ไม่นาน ทำให้ต้องเกิดการพูดซ้ำ และใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ทำให้เกิดการปั่นแฮชแท็ก
อย่างไรก็ตาม ทวิตเตอร์เป็นแพลตฟอร์มที่กระจายอำนาจสูงมาก หมายถึง ไม่ได้มีอิทธิพลต่อคนมากนัก หรือใช้คนใดคนหนึ่งพูดผ่านทวิตเตอร์ จะไม่เห็นผลมากนัก แต่จะเห็นผลเมื่อให้คอมมูนิตี้เป็นคนพูด ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงกว้าง
“ในยุคโซเชียลเราไม่เชื่อแบรนด์ แต่เราเชื่อเพื่อนบอก เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าแบรนด์มักไม่พูดถึงตัวเอง แต่ให้คนอื่นพูดแทน และแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จคือ แบรนด์ที่ทำให้เพื่อนบอกเราถึงแบรนด์นั้นได้ถือเป็นภาคใหม่ของไวรัลมาร์เก็ตติ้ง ถ้าทำให้คนอื่นบอกต่อได้จะเกิดอิมแพคสูง ทุกคนพยายามหาสูตรที่ทำให้คนบอกต่อ ซึ่งเป็นความลับของทุกแพลตฟอร์ม แบรนด์จึงต้องพยายามทดลองเพื่อหาวิธีให้ได้” นายกล้ากล่าว
นอกจากนี้ ยังมองว่าแพลตฟอร์มที่มีความสำคัญในบ้านเรายังเหมือนเดิมอยู่ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ แต่จะเริ่มมีแพลดฟอร์มใหม่ๆ เข้ามาให้ลองเล่นในปีหน้าเพิ่มขึ้น เช่น เฟซบุ๊กวอทช์ , ติ๊กต็อก ที่คนเริ่มใช้มากขึ้น เมื่อคนใช้มากขึ้นก็เป็นมีเดียที่มีพลัง นักการตลาดก็ต้องการเอามาใช้ ถือเป็นการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ในแพลตฟอร์มเดิม สิ่งที่อยากรู้คือ ของใหม่ที่พัฒนาขึ้น จะส่งผลกระทบกับคนได้มากขนาดไหน ซึ่งดาต้าจะเป็นตัวที่เข้ามาตอบคำถามนี้
อีกแนวโน้มที่ต้องจับตาคือ การใช้อินฟลูเอนเซอร์ เป็นเครื่องมือทางการตลาดของแบรนด์ ซึ่งมีการใช้อย่างมากและต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มของการใช้อินฟลูเอนเซอร์ให้ผลลัพธ์ลดลง หรือเลือกอินฟลูเอนเซอร์ไม่เหมาะกับคาแรคเตอร์สินค้า หรือตัวสินค้าไม่ตรงกับตัวอินฟลูเอนเซอร์ หรือไม่ตรงกับแฟนคลับของอินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อภาพรวมของการใช้อินฟลูเอนเซอร์ทำให้กลายเป็นสื่อที่คนไม่เชื่อ แบรนด์เลิกใช้เพราะไม่เห็นผล เป็นต้น
ดังนั้น จากปัญหาดังกล่าว บริษัทจึงมองว่า ที่ผ่านมา อินฟลูเอนเซอร์แต่ละคน จะถูกกำหนดโดยคนอื่นว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์สายใดสายหนึ่ง เช่น ด้านท่องเที่ยว ด้านอาหาร ด้านบิวตี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อใช้เครื่องมือเข้าไปจับดาต้าจากการโพสต์ จะเห็นว่า อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้โพสต์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่นด้านบิวตี้ ที่ถูกมองไว้ อาจโพสต์บิวตี้เพียง 40% ที่เหลือเป็นการโพสต์เรื่องท่องเที่ยว อาหาร นั่นหมายความว่า อินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งสามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้หลายด้าน โดยใช้ข้อมูลคอนเทนต์ที่โพสต์มาเป็นเครื่องชี้วัด
“การใช้ข้อมูลมาจำแนกจะทำให้แบรนด์รู้ว่า อินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนสามารถเอนเกจเมนต์อะไรได้บ้าง เพื่อเลือกใช้ให้ตรงกับแบรนด์ เมื่อมีความสัมพันธ์กันทั้งตัวอินฟลูเอนเซอร์, แฟนคลับ และแบรนด์ รวมถึงการใช้ข้อมูลที่ไดนามิก เรียลไทม์ จะทำให้โอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น” นายกล้ากล่าวปิดท้าย
