Marketing Trends

‘ซีอีโอเครือซีพี’ นำทัพบุกเวทีโลก ลั่นหนุนธุรกิจไทย ‘พัฒนายั่งยืน’

“ศุภชัย เจียรวนนท์” ตอกย้ำจุดยืนก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เดินสายเรียนรู้ประสบการณ์เวทีโลก พร้อมประกาศร่วมสนับสนุนความมั่นคงอาหารและธุรกิจโลกที่ยั่งยืน ยืนหยัดผลักดันสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนระดับสากล

ศุภชัย 2

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยผู้บริหารเครือฯ ได้เข้าร่วมประชุมกับผู้นำขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations-FAO) ณ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกล่าวต่อที่ประชุมว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความมุ่งมั่นในฐานะผู้่ผลิตอาหารและวัตถุดิบสำคัญ จะใช้ศักยภาพของทุกบริษัทในเครือในการส่งเสริมและสร้างความมั่นคงทางอาหารแก่โลก และครอบคลุมถึงเป้าหมายการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนของเครือฯด้วย

สำหรับการประชุมดังกล่าว เนื่องในโอกาสที่นาย Qu Dongyu จากจีนได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้อำนวยการของ FAO ซึ่งนับเป็นการหารือกับผู้แทนภาคธุรกิจครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง และมีบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมหารือ อาทิ ศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพชาวบังคลาเทศ ที่ส่งเสริมการจัดตั้งกิจการเพื่อสังคม, นายปีเตอร์ บากเกอร์ ประธานคณะผู้บริหารของ World Business Council on Sustainable Development (WBCSD), นายเอ็มมานูเอล เฟเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ดาน่อน และบริษัท มาร์ส รวมทั้งผู้บริหารจากมูลนิธิอีท เป็นต้น

นอกจากนี้ นายศุภชัย ยังได้หารือร่วมกับ นายพอล โพลแมน ผู้ก่อตั้งองค์กร อิเมจิ้น (Imagine) ประธานร่วมของคณะกรรมการบริหาร UN Global Compact , ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา One Young World, ประธาน International Chamber of Commerce และอดีตซีอีโอ ของ ยูนิลีเวอร์ โกลบอล และ Mrs. Lise Kingo ซีอีโอและผู้อำนวยการบริหารของ UN Global Compact ซึ่งนายศุภชัย ในฐานะนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งและกิจกรรมของสมาคมฯที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของภาคเอกชนไทย เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนในไทย สอดคล้องกับหลักการสากลของ UN Global Compact ทั้งสิบประการ

ศุภชัย1

ทั้งนี้ เครือซีพีพร้อมจะเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจไทยที่จะส่งเสริมและสนับสนุนความยั่งยืนในภาคธุรกิจและสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 20 ปีของการตั้ง UN Global Compact ในปี 2563

ขณะที่ นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ก็ได้เข้าร่วมการประชุม Sustainable Development Impact Summit ที่จัดโดย World Economic Forum(WEF)ครั้งที่ 3 ซึ่งมีผู้แทนกว่า 800 คนจากภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกเข้าร่วม โดยการหารือมุ่งเน้น 4 ประเด็นหลักคือ 1.การปรับกลไกตลาดที่คำนึงถึงผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 2. ระดมพลังเพื่อป้องกันปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการร่วมกันทุกวิถีทางเพื่อจำกัดไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส 3.ระดมทุนเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และ 4.ระดมกำลังเพื่อสร้างสังคมที่เสมอภาค ซึ่งเป็นการประชุมในช่วงเวลาเดียวกับการหรือสุดยอดระดับผู้นำของสหประชาชาติ 3 เรื่อง คือ เรื่องสภาพภูมิอากาศ เรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

นายนพปฎล กล่าวว่า จากการหารือกับศาสตราจารย์ Klaus Schwab ประธานและผู้ก่อตั้ง WEF ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เห็นว่า กิจการครอบครัวที่มีผู้บริหารมืออาชีพ ต้องส่งเสริมให้ผู้บริหารตระหนักถึงเรื่องการส่งเสริมความยั่งยืนด้วย นอกจากการรักษาให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไป อีกทั้งจากที่ได้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการหลายรายการ พบว่า ปีนี้เรื่องที่ได้รับความสนใจมากคือ เรื่อง Circular Economy หรือความพยายามที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้คุ้มค่ามากที่สุด ก่อนจะถูกทำลาย โดยอาจเป็นการแปรสภาพเพื่อเพิ่มมูลค่า การแปรสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ การใช้ซ้ำ ซึ่งมีการเรียกร้องให้ทั่วโลกตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน และต้องส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้น

ประชุมระดับโลก

“ปัจจุบันที่มีวัสดุทั่วโลกกลับเข้าสู่ระบบ Circular Economy เพียง 9%และขยะพลาสติกทั่วโลกถูกนำกลับมาแปรสภาพเพื่อใช้ใหม่เพียง 10%เท่านั้น โดยภาคธุรกิจต้องร่วมมือกันสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อลดการบริโภคเกินความต้องการในชีวิตประจำวัน หากสามารถส่งเสริมให้วัสดุต่างๆหมุนเวียนอยู่ในเศรษฐกิจได้มากขึ้น อาจเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจทั่วโลกได้ถึง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ”นายนพปฎล กล่าว

ในส่วนของ WEF ได้ประเมินว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่สามารถพัฒนาให้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมพลังงานได้ถึง 30%ภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส โดยภาคธุรกิจต้องหันมาร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่อย่างจริงจัง หากสามารถปฏิวัติการผลิตแบตเตอรี่ได้จริง อาจช่วยสร้างงานใหม่แก่ประชากรกว่า 10 ล้านคน ช่วยเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจโลกอีก 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และช่วยให้ประชากรทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก

นายนพปฎล ยังได้เข้าร่วมการประชุม SDG Business Forum ซึ่งจัดโดยหอการค้าต่างประเทศ ร่วมกับสหประชาชาติและ UN Global Compact โดยร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้มีส่วนได้เสียต่างๆในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ตลอดจนความท้าทายจากการนำยุทธศาสตร์ไปปรับใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งหัวข้อการหารือที่สำคัญในปีนี้ ได้แก่ การเงินที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งภาคการเงินและนักลงทุน รวมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ประกอบกิจการในหลายประเทศ ต้องเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการบรรลุ SDGsด้วย และสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้นให้สามารถนำ SDGs ไปใช้กับยุทธศาสตร์การทำธุรกิจได้ด้วย รวมทั้งต้องกระตุ้นให้ภาคเอกชนขยายผลและต่อยอดการทำธุรกิจที่ยั่งยืนให้มีขอบเขตกว้างขึ้น

Avatar photo