Marketing Trends

ผนึก ‘ยักษ์ไบโอเทค’ เกาหลีใต้ ยกระดับ ‘ยาชีวภาพ’ ไทย ก้าวสู่ระดับโลก

BGIC โดดร่วมทุน Genexine บริษัทยักษ์ใหญ่ไบโอเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้ พร้อมผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ รุกอุตสาหกรรมยาสมัยใหม่ เดินหน้าพัฒนายาชีวภาพ รับเทรนด์ตลาดโลกเติบโตสูงเท่าตัว ตั้งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมยาชีวเภสัชภัณฑ์ไทยสู่ระดับโลก หวังขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและฐานผลิตยาในอาเซียน

JOB27813
มารุต บูรณะเศรษฐกุล

นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอ เจเนเทค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (BGIC) ผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ หรือไบโอฟาร์มาซูติคอล เปิดเผยว่า บริษัทเล็งเห็นโอกาสและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมการผลิตยาด้วยเทคโนโลยีชีวภาพประเทศไทย ซึ่งจะนำประเทศก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จึงได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมมือกันสนับสนุนการวิจัยและการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ชีวเภสัชภัณฑ์ พร้อมผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของประเทศ

นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายพัฒนาศักยภาพของบริษัทให้เป็น ศูนย์กลางอำนวยในการให้บริการด้านเทคโนโลยีชีวภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการจัดการงานวิจัย และสิทธิบัตรงานวิจัย (License–in & License-out Management) บริษัทจัดสร้างและหรือปรับปรุงโครงสร้าง การปฏิบัติงาน ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อประกอบ ธุรกิจผลิตชีวภาพตามมาตรฐาน รวมถึงบริการพัฒนาธุรกิจใหม่ ที่ตอบสนองต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อเสริมสร้างรากฐาน อุตสาหกรรมยาในประเทศให้แข็งแกร่งในอนาคต

สำหรับภาพรวมตลาดยาแผนปัจจุบันทั่วโลกในปี 2561 พบว่า มีมูลค่า 24 ล้านล้านบาท เติบโต 6.5% โดยยาที่มีการเติบโตสูง และกำลังเป็นที่นิยมคือ ยาชีวภาพ โดยเติบโตถึง 13% ขณะที่ในเอเชียเติบโตถึง 19% สูงกว่าอัตราการเติบโตโดยรวมของโลก ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

JOB27731

ขณะที่ภาพรวมของตลาดของประเทศไทย มีมูลค่าราว 1.8 แสนล้านบาท เติบโตประมาณ 6.5% โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นตลาดยาที่เป็นเคมีสังเคราะห์ประมาณ 70% ส่วนยาชีวภาพแม้ปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพียง 30% แต่กลับเติบโตสูงถึง 16-19% และมีแนวโน้มว่าจะมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ภายใน 5 – 10ปีนับจากนี้ และคาดว่า ประเทศไทยจะสามารถผลิตชีวเภสัชภัณฑ์ ด้วยงานวิจัยภายในประเทศได้เองในอนาคตอันใกล้

ล่าสุด บริษัทได้เซ็นต์สัญญาร่วมทุนระหว่าง KinGen Holdings (KGH) บริษัทในกลุ่ม BGIC และ Genexine Inc. โดยถือหุ้นเท่ากันที่ 50% เพื่อลงทุนใน KinGen BioTech (KGBio) โรงงานรับจ้างผลิตยาชีววัตถุและวางระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาชีววัตถุ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 240 ล้านบาท (8 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ในปี 2562 – 2569 อยู่ที่ราว 6,500 – 7,500 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนร่วมทุนจัดตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาวิจัยยาชีววัตถุ ภายใต้ชื่อ KinGen Laboratory (KGLab)

สำหรับ Genexine Inc.เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลกจากประเทศเกาหลีใต้มีมูลค่าบริษัทราว 1,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ก่อตั้งเมื่อปี 2542 มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดและโรคที่พบได้ยาก พร้อมที่จะนำองค์ ความรู้ที่ล้ำค่า และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญในการผลิตยาชีววัตถุในแบบมาตรฐานสากล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยสู่ประเทศไทย ปัจจุบันบริษัท จดทะเบียนอยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเกาหลีตั้งแต่ปี 2552

JOB27711

ก่อนหน้านี้ บริษัท BGIC ได้ก่อตั้งโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือ National Biopharmaceutical Facility (NBF) ในปี 2557 โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) วิทยาเขตบางขุนเทียน ซึ่งแบ่งการให้บริการเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. การบริการด้านการวิจัยและพัฒนาการออกแบบกระบวนการผลิต การขยายขนาดทั้งในกระบวนการผลิตต้นน้ำและปลายน้ำรวมถึงการตรวจสอบคุณภาพ 2. การบริการผลิตยาชีวภาพที่สามารถผลิตยาชีวภาพที่เป็นโปรตีน รวมถึงการผลิตยา วัคซีน และสารชีวภาพมูลค่าสูง เพื่อใช้รักษาโรคร้ายแรง และ 3. การบริการฝึกอบรม และให้คำ ปรึกษาแนะนำในส่วนของการผลิตการตรวจสอบคุณภาพระบบสนันสนุนและระบบเอกสารตามมาตรฐานจีเอ็มพี

ขณะเดียวกัน BGIC ยังทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไบโอฟาร์มาซูติคอล ของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมชีวเภสัชภัณฑ์ให้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย โดยยาชีวภาพจะเป็นยาแห่งโลกอนาคตที่ถูกพัฒนาให้เป็นยาที่เรียกว่า Supergenerics กล่าวคือ สามารถเห็นผลรักษาใน ระยะเวลารวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการรักษาที่มากขึ้น

2 16

 

นายมารุตกล่าวว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพนับวันจะเติบโตและมีมูลค่าที่สูงมากขึ้นในต่างประเทศ เพราะเป็นที่ยอมรับทั้งจากแพทย์ผู้รักษาและผู้ป่วยว่า ชีวเภสัชภัณฑ์มีคุณสมบัติในการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์ ยาที่มาจากเคมีสังเคราะห์ดังจะเห็นได้จากยอดขายผลิตภัณฑ์ยา 20 อันดับแรกในตลาด ยาทั่วโลกในปี 2561 เป็นยาที่ขึ้นทะเบียนเป็นชีวเภสัชภัณฑ์แล้วถึง 13 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นแนวโน้มที่จะเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆนับจากนี้ ทั้งยังสอดรับกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม การแพทย์ครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมอนาคต ตามกรอบการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ที่ส่วนหนึ่งคือการสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและผลิตชีวเภสัชภัณฑ์อีกด้วย

Avatar photo