Marketing Trends

จับแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ แนะทางรอดยุคต้นทุนพุ่ง-อีคอมเมิร์ซรุมกระหน่ำ

กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ต้องปรับตัวท่ามกลางการแข่งขันจากร้านค้าออนไลน์ รวมทั้งต้นทุนสินค้าและการดำเนินงานที่สูงขึ้น

ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในไทย หรือโมเดิร์นเทรด ประกอบไปด้วยผู้เล่นหลากหลายประเภท ทั้งกลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่, กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ และกลุ่มขายสินค้าเฉพาะทางต่าง ๆ โดยพบว่า กลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีบทบาทมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทยอยเข้ามาแทนที่กลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้เล่นกลุ่มนี้ ประกอบไปด้วย  ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ซููเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ

ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่

นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในไทย ยังประกอบไปด้วย ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงร้านขายสินค้าเฉพาะทาง เช่น ร้้านขายสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ร้านขายสินค้าแฟชัน เป็นต้น

ทั้งนี้ พฤติกรรมการซื้อสินค้าและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังการระบาดของโควิด -19 ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่า สัดส่วนตลาดอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มเพิ่มเป็น 25% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมดในปี 2568 เทียบกับปี 2562 อยู่ที่ราว 7%

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ร้านค้าหลายแห่ง ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งหน้าร้านและผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งแนวโน้มของโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นผลจาจากการผสมผสานระหว่าง อีมาร์เก็ตเพลส กับโซเชียลมีเดีย ที่ทยอยเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างสะดวกและครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่กำลังเริ่มเข้ามาสู่ตลาดแรงงานและเริ่มมีศักยภาพในการจับจ่ายสูงขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่ยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่นกลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง รวมไปถึงต้นทุนสินค้าและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างประชาชน อาทิ การเข้าสู่สังคมสูงอายุ รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Z ที่มีความคาดหวังในเรื่องสินค้าและบริการที่สูงขึ้น รวมทั้งใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เช่น Taobao, Temu แลุ่ะ Shein เป็นตุ้น ที่กำลังรุกคืบตลาดไทย และความได้เปรียบด้านราคาจากต้นทุนที่ต่ำ อีกทั้งยังมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่า ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการในประเทศจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ตัดราคาเพื่อให้แข่งขันได้

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโมเดิร์นเทรดยังมีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยหนุน ได้แก่ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการท้องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น โดยคาดว่าในปี 3568 ธุรกิจโมเดิร์นเทรด จะสามารถขยายตัวได้ 4.6% มีมูลค่าราว 2.5 ล้านล้านบาท

ค้าปลีก ประเภท

มาตรการภาครัฐต่าง ๆ เช่น โครงการ Easy E-Receipt 2.0, โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 (ผ่านผู้สูงอายุ) และเฟส 3 จะส่งอานิสงส์ถึงธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโครงการลดค่าครองชีพ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ตลอดจนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลดีต่อยอดขายธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน จะได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐค่อนข้างมาก โดยคาดว่าจะส่งผลให้เติบโตได้ถึง 4.6% ในปีนี้ จากปีที่ผ่านมาขยายตัวราว 5.3%

สำหรับกลุ่มธุรกิจดีพาร์ทเมนท์สโตร์ในปี 2568 คาดว่ายอดขายจะเติบโต 4.6% จากปี 2567 เติบโต 6% โดยมีแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาในระดับใกล้เคียงกับช่องก่อนโควิด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายในห้างสรรพสินค้าให้ฟื้นตัวดีขึน อีกทั้งได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะดำเนินการในปีนี้

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของกลุ่มห้างสรรพสินค้า ยังมีความเสี่ยงจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าภายใต้ Trump 2.0 ซึ่งอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชะลอตัวลง

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยฉุดรั้งสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคสู่ช่องทางออนไลน์ และแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จากการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายโครงการ ซึ่งจะยิ่งทำให้ธุรกิจดีพาร์ทเมนท์สโตร์ เผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้นจากค้าปลีกเฉพาะทางที่มีความหลากหลายของสินค้าและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากกว่า

ในส่วนของกลุ่มร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงาม คาดกาณ์ว่ารายได้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับกระแสรักสุขภาพที่เติบโตขึ้นในทุกช่วงวัย รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขายสินค้าประเภทนี้ อาทิ ยา วิตามินและอาหารเสริม

อย่างไรก็ตี เทรนด์ทราเวล รีเทล หรือร้านค้าในพื้นที่ท่องเที่ยว ที่นิยมจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามของไทย ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยและเครื่องหอม โดยมูลค่าสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงามในปี 2568 คาดเติบโตราว 7.5%

ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มนี้ อาจเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น โดยจากผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปัจจุบันพบว่า มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไแ โดยเน้นการซื้อของที่ระลึก แทนกลุ่มเครื่องสำอางและน้ำหอม คาดว่ายอดขายกลุ่มร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงาม จะเติบโตราว 4.9%ในปีนี้

ขณะที่การแข่งขันในสินค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากการเติบโตของการขยายสินค้ากลุ่มนี้ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เอื้อให้มีผู้ประกอบการรายย่อยเข้ามาในตลาดมากขึ้น

ค้าปลีกมูลค่า

ด้านมูลค่ายอดขายของร้านขายสินค้าเฉพาะทางในกลุ่มสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มเติบโตราว 4.5% ในปี 2568 ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2567 ที่เติบโต 4.6% โดยในปี 2568 จะได้แรงสนับสนุนจากการรีโนเวทที่อยู่อาศัย และความต้องการซ่อมแซมบ้านจากแผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญที่ต้องจับตาคือ ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ปรับลดลงตามกำลังซื้อและการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภค ดังนั้น การขยายสาขาของร้านค้ากลุ่มนี้ จึงจำเป็นต้องพจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พร้อมกับการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านการขยายและบริการหลังการขาย

อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากร้านค้าออนไลน์ที่มีราคาถูกกว่าอย่างมากโดยเฉพาะจากสินค้าจีน ดังนั้นกลยุทธ์การแข่งขันแ,ะการเติบโตในระยะต่อไป จึงต้องเน้นนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและแตกต่างจากคู่แข่ง รวมถึงการให้บริการหลังการขายที่เหนือกว่าร้านค้าออนไลน์

ด้านกลุ่มสินค้าแฟชั่นคาดว่าจะมียอดขายเติบโตราว 4.6% ในปี 2568 โดยยอดขายชะลอตัวจากปี 2567 ที่เติบโต 5% ซึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาดูต่อไปคือ การแข่งขันในตลาดที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายร้านค้ากลุ่มนี้เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าร้านค้ากลุ่ม Fast fashion จะยังคงเติบโตดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากสามารถปรับตัวให้ทันสมัยได้อย่างวดเร็ว และมีความหลากหลาย อีกทั้งราคายังตจับต้องได้ ทำให้ซื้อได้บ่อยครั้ง ทั้งนี้ ภายใต้สภาวะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการใข้จ่าย ซึ่งอาจเป็ยปัจจัยกดดันการเติบโตได้

ดังนั้น ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากกลุ่มผู้เล่นที่มีหน้าร้าน และกลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้ามารุกตลาดมากขึ้น โดยนอกจากการนำเสนอสินคาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์แล้ว ยังต้องเน้นการสร้างประสบการณ์ในการซื้อสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดตจนตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนด้วย

ในระยะต่อไป การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของไทย มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่ขายสินค้าเฉพาะทาง อย่าง กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าแฟชั่น ควรปรับตัวด้วยการนำเสนอสินค้าที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพสูงและยั่งยืน

ค้าปลีกการเติบโต

นอกจากนี้ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ยังคงเป็นกระแสหลักที่ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เนื่องจากได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน ทำให้ประเด็นด้าน ESG เข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจโมเดิร์นเทรด โดยพบว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่เริ่มปรับตัวด้วยการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดใช้ถุงพลาสติก ปรับเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานสะอาดเช่น โซลาร์รูฟท็อป รวมไปถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลอดจนสนับสนุนผู้ประกอบการและสินค้าท้องถิ่นมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญสในการปรับตัวให้สอดรับกับกระแสความยั่งยืน โดยผลสำรวจของ SCB EIC พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ราคาสินค้าที่สูงและยังมีตัวเลือกน้อย เป็นอุปสรรคสำคัญ โดยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยินดีจ่ายเงินสำหรับสินค้าที่มีความยั่งยืนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% จากราคาปกติ

ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ พร้อมที่จะสนับสนุนสินค้าที่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะสินค้าที่มีส่วนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบที่คำนึงถึงเรื่อง Eco-design อย่างบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในประเด็นความยั่งยืนมากที่สุด คือ อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น หากผู้ประกอบการ ต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ธุรกิจค้าปลีกควรปรับตัวโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า พร้อมกับการเน้นจุดขายด้านความยั่งยืน มีกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มลูกค้า ซึ่งอาจจะนำเสนอสินค้าที่หลากหลายและตัวเลือกราคาที่มากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย

บทความโดย: ชญานิศ สมสุข นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุุรกิจ (SCB EIC)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo