Economics

รัฐบาลชี้ ‘โควิด’ ต้นเหตุ ‘ความสามารถแข่งขันลด’ แต่ ‘หลายเรื่อง’ ดีขึ้น

โฆษกรัฐบาลเผย แม้ความสามารถแข่งขันของไทยปี 2565 จะลดลง สาเหตุจากสถานการณ์ โควิด-19 แต่มีหลายปัจจัยที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต

วันนี้ (30 ต.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ผลการจัดอันดับ ความสามารถแข่งขัน (Competitiveness of Countries) โดย International Institute for Management Development (IMD) ประจำปี 2565 ของไทย จะลดลงมา 5 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 33 จากอันดับที่ 28 ในปีก่อนหน้า แต่ไทยยังมีปัจจัยบวก ในหลายปัจจัยย่อย ซึ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนพบว่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีอันดับลดลง 7 อันดับ ซึ่งมากกว่าการลดลงของไทย

ความสามารถแข่งขัน

นายอนุชา กล่าวถึงสาเหตุหลักกรณี ปัจจัยหลักด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ไทยอยู่อันดับที่ 34 ว่า เป็นผลมาจากการลดลงของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา พึ่งพาการส่งออก-นำเข้าสูง ดังนั้นในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด -19 จึงได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เป็นผลกระทบระยะสั้น จากการไม่สามารถส่งออกสินค้า อันเป็นผลข้อจำกัดในการขนส่งระหว่างประเทศ เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ประเทศไทยจะสามารถกลับมาส่งออกได้มากขึ้นตามปกติ

ขณะที่ใน ปัจจัยย่อยด้านระดับราคา (Prices) มีการปรับตัวดีขึ้นถึง 6 อันดับ แม้ว่าระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดด้านค่าใช้จ่าย เพื่อการดำรงชีพยังคงมีแนวโน้มที่ดี เช่น ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยและสำนักงาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการของภาครัฐ ที่ช่วยสนับสนุน และพยุงต้นทุนค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โครงการเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา

สำหรับ ปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 31 นั้น นายอนุชาย้ำว่า สาเหตุหลักเป็นผลมาจาก ปัจจัยย่อยทางด้านฐานะการคลัง (Public finance) ที่มีการใช้จ่ายงบประมาณแบบขาดดุล และหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง ผลจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกู้เงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่อง และฟื้นฟูเศรษฐกิจ รักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุนและบริโภคในระบบเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการโควิดระบาด

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรอบการบริหารด้านสังคมพบว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา การกระจายรายได้ของกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยที่สุด 40% ของประเทศไทย พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตัวชี้วัดดังกล่าวมีอันดับดีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 หรือดีขึ้น 26 อันดับจากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการภาครัฐในการลดค่าครองชีพของกลุ่มคนเปราะบาง และมีมาตรการบรรเทาช่วยเหลือด้านรายจ่ายให้แก่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยในประเทศ ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการสาคัญ อาทิ “เราชนะ” และ “คนละครึ่ง”

ส่วน ปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ซึ่ง ปัจจัยย่อยด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) โดยรวมจะมีอันดับลดลง แต่ผลิตภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้น

ที่ผ่านมา รัฐได้สนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาโครงการด้านการพัฒนาผลิตภาพการผลิต อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ในเขตพื้นที่ EECi เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับต้นแบบกระบวนการผลิตที่สามารถถ่ายทอดและนำไปปฏิบัติได้จริง

ขณะที่ในด้านการบริหารจัดการ มีอันดับคงที่ อยู่ที่อันดับ 22 ซึ่งเกิดจากมีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การสร้างและพัฒนาแนวคิดความเป็นผู้ประกอบการ จากการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น โครงการ Depa Digital Startup Fund ส่งเสริมและสนับสนุนวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

การสร้างชุมชนผู้ประกอบการให้สามารถศึกษาเรียนรู้ พัฒนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อธุรกิจสามารถต่อยอดและต่อตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกันยังเป็นผลมาจากการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญในการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในรูปแบบมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น

ความสามารถแข่งขัน

นายอนุชายังกล่าวถึง ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นด้วย ได้แก่

สาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure)

ปรับตัวดีขึ้น จากการพัฒนาการด้านคมนาคมขนส่งรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางรถไฟที่ทั่วถึงตามนโยบายรัฐบาล อาทิ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับการขนส่งรูปแบบอื่น รวมถึงรัฐบาลได้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะถนนมาอย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure)

ปรับตัวดีขึ้น โดยรัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ และครอบคลุมผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และรูปแบบการเรียนการสอน การทำงานเป็นรูปแบบออนไลน์ รวมทั้งการเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น หมอพร้อม และเป๋าตัง เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม

ปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure)

มีอันดับคงที่ อยู่ที่อันดับ 38 โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สะท้อนจากตัวชี้วัดในกลุ่มการใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Total expenditure on R&D) ที่ปรับตัวดีขึ้น

ปัจจัยย่อยด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Health and Environment)

อยู่ในอันดับที่ 51 โดยตัวชี้ที่สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้รับการจัดอันดับดีขึ้น อาทิ อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด และอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพที่ดีเป็นต้น รวมทั้งการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล สะท้อนจากตัวชี้วัดปัญหามลพิษได้รับการจัดอันดับดีขึ้นด้วย

ปัจจัยย่อยด้านการศึกษา (Education)

ปรับตัวดีขึ้น 3 อันดับอยู่ในอันดับที่ 53 เป็นผลจากที่รัฐบาลมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง จากตัวชี้วัดการใช้จ่ายด้านการศึกษาของภาครัฐโดยรวม (Total public expenditure on education) ที่ปรับตัวดีขึ้น 10 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 49 นอกจากนี้ จากนโยบายการบรรจุครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นราชการ ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้อันดับทางด้านสัดส่วนครูต่อนักเรียนปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo