“ดร.นฤมล” ชี้ ไทย “ขาดดุลแฝด” ร่วม 8 เดือน ถือเป็นจุดเสี่ยงเศรษฐกิจ แนะเร่งเพิ่มรายรับจากการท่องเที่ยว-สร้างความมั่นคงทางพลังงาน
วันนี้ (21 ต.ค.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ สะท้อนมุมมองว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เคยบอกไว้ให้ติดตาม และเฝ้าระวัง ภาวะ “ขาดดุลแฝด” คือ การขาดดุลการคลัง และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในขณะเดียวกัน
ไทยยังใช้นโยบายขาดดุลการคลัง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 ที่กำหนดวงเงินกู้ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 695,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.88% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ส่วนตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม 2565 มีเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว ที่เกินดุลเดือนอื่น ที่เหลือขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง
เมื่อเจาะดูดุลบัญชีเดินสะพัดรายเดือน พบสิ่งที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่มกราคม 2564 ถึงสิงหาคม 2565 ไทยขาดดุลบริการมาตลอดทุกเดือน ซึ่งสาเหตุหลัก เกิดจากรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น้อยลง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
แต่ห้วงเวลาเดียวกัน ไทยยังเกินดุลการค้าทุกเดือนจนถึงมิถุนายน 2565 จนมา 2 เดือนหลัง คือ เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม 2565 ที่เริ่มเกิดการขาดดุลการค้า นั่นคือ มูลค่าจากการนำเข้าสินค้ามากว่ามูลค่าจากการส่งออกสินค้า ซึ่งหลัก ๆ เป็นผลมาจากการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซปิโตรเลียมมากกว่าการส่งออก และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง
จึงเรียกได้ว่า ไทยเกิดภาวะขาดดุลแฝดต่อเนื่องมาหลายเดือน และภาพรวมทั้งปี 2565 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ประเมินไว้ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุล 7,600 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 266,000 ล้านบาท คิดเป็น 1.5% ของจีดีพี
แต่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นับถึงสิงหาคม 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสะสมไปแล้วถึง 1,275,165 ล้านบาท มากกว่าที่สภาพัฒน์คาดไปแล้วเกือบ 5 เท่า
การขาดดุลแฝด ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศเช่นกัน เพราะภาวะการคลังติดลบเกือบหมด รัฐบาลต่างจำเป็นต้องอาศัยการกู้ เป็นเครื่องจักรหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และยังมาเจอขาดดุลการค้าจากการนำเข้าน้ำมัน ประกอบกับสกุลเงินที่อ่อนค่าลงอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้อยู่ในภาวะขาดดุลแฝดนานไปย่อมไม่เป็นผลดี จำเป็นต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด และปรับนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ด้วยแนวทางลดการขาดดุลบริการ ตามที่รัฐบาลส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเพิ่มรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากขึ้น
ส่วนแนวทางลดการขาดดุลการค้า เราควรต้องทบทวน และเอาจริงเอาจังกับแผนความมั่นคงทางพลังงาน เพื่อลดสัดส่วนการพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มพลังงาน
ขณะเดียวกัน นโยบายทางการคลังจากนี้ไปต้องรัดกุม หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณ ยิ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องตั้งงบประมาณรองรับในอนาคตก็สูงตาม
จึงควรพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การร่วมทุนกับภาคเอกชน หรือ การระดมทุนด้วยกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘นฤมล’ หนุน ‘กองทุนรวมเพื่อสังคม’ กลไก ลด ‘เหลื่อมล้ำ’ สร้าง ‘เศรษฐกิจไทยยั่งยืน’
- ‘นฤมล’ ย้ำ ‘กยศ.’ กับอนาคตของชาติ ต้องไม่วางรากฐานให้คนอยากผิดวินัย
- ‘นฤมล’ หนุนกนง. 28 ก.ย.นี้ ทยอยขยับดอกเบี้ย