ในโลกยุคใหม่ระบบไฟฟ้าต้องตอบสนองต่อการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกโฟกัสมากกว่าพลังงานหมุนเวียนอื่น และมีการผลิตแบบกระจายตัว มีทั้งโครงการขนาดใหญ่ และระบบผลิตขนาดเล็กที่ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ผลิตด้วย (Prosumer ) อาทิ โซล่าร์รูฟทอป รวมถึงระบบไฟฟ้าต้องสนองต่อประสิทธิภาพ และความมั่นคง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลักในภาวะฉุกเฉิน ที่สำคัญเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่
สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ “ไมโครกริด” (Micro Grid) ขยายตัวในต่างประเทศ และกำลังถูกเรียกร้องให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อรองรับเทรนด์กิจการไฟฟ้ารอบรับโลกยุคใหม่ เพราะ “ไมโครกริด” เป็น ระบบไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีการรวมระบบผลิตไฟฟ้า ส่งจ่ายไฟฟ้า และควบคุมสั่งการเข้าไว้ด้วยกัน สามารถทำงานประสานเชื่อมกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก หรือโครงข่ายอื่น ๆ แยกทำงานเป็นอิสระได้ด้วย เป็นเหตุให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงานต้องเร่งศึกษาเพื่อวางระบบรองรับ
วันนี้ (14 ม.ค.) สนพ.ได้จัด“สัมมนารับฟังความเห็นร่างรูปแบบธุรกิจไมโครกริด” ขึ้น ภายหลังผลการศึกษาเบื้องต้นออกมาแล้ว และแน่นอนว่าทั้งหมดจะนำไปสู่การปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ฉบับใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า
นายศุภสิทธิ์ อัมราลิขิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท Full Advantage ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า แผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายเชื่อมโยงไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทกริด (Smart Grid) ของประเทศไทย แบ่งเป็น
- ระยะเตรียมการ ปี 2558 – 2559 เป็นช่วงการจัดตั้งคณะทำงานระหว่าง 3 การไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนการทำงาน และกำหนดแผนปฏิบัติการ รวมถึงปรับปรุงโครง
ข่ายไฟฟ้า (Grid Code) เพื่อรองรับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน รวมถึงให้ทุนสนับสนุนให้สถาบันการศึกษา เพื่อผลิตบุคลากร ด้านระบบสมาร์ทกริด และให้ทุนศึกษาวิจัยในระยะเริ่มต้น ทั้งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับระบบสมาร์ทกริด - ระยะสั้นช่วงปี 2560-2564 โดยสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโครงการนำร่อง ด้านการตอบสนองโหลด ( Demand Response) ด้านระบบไมโครกริด และระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงศึกษา และทบทวนผลการดำเนินงานโครงการนำร่อง
- ระยะกลาง ปี 2565-2574 สนับสนุนให้เกิด Real Time Pricing (RTP) จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน และระบบกักเก็บพลังงาน ออกมาตรการกำหนดสัดส่วน Local Content สำหรับโครงการของรัฐ ออกมาตรการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาซอฟแวร์ และฮาร์ดแวร์ ภายในประเทศ ออกมาตรการสนับสนุนทางภาษี และการเงิน และสนับสนุนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีสมาร์ทกริด ในระบบผลิต ระบบส่ง และระบบจำหน่าย
- ระยะยาว ปี 2575- 2579 แบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ คือ
ด้านการผลิตและระบบส่งไฟฟ้า โดยกำหนดนโยบายการให้เกิดการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ต่อไปนี้
-สถานีชาร์จรถไฟฟ้าอัจฉริยะ / V2G
-การพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน
-ระบบสายส่งกระแสตรงความดันสูง (High Voltage Direct Current :HVDC ) และอุปกรณ์ควบคุมกำลังไฟฟ้าในระบบส่ง
-ระบบตอบสนองโหลด (Demand Response Management System) และระบบจัดการการใช้ไฟฟ้า ( Demand Side Management : DSM )
-กำหนดนโยบายสนับสนุนการติดตั้งเทคโนโลยี เพื่อการบริหารจัดการ การใช้พลังงานอย่างเต็มรูปแบบ
ไมโคร กริด มี 3 เสาหลักสำคัญที่ต้องขับเคลื่อน เสาหลัก 1 คือ Demand Response และ ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) เสาหลัก 2 คือ ระบบพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน และเสาหลักที่ 3 คือ ระบบไมโครกริด และระบบกักเก็บพลังงาน
สาระสำคัญที่จะทำให้การขับเคลื่อนทั้ง 3 เสาสำเร็จ อยู่ที่การบริหารการขับเคลื่อนให้เดินหน้าในทางปฏิบัติ การส่งเสริมขีดความสามารถของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสีย
“หัวใจสำคัญของไมโครกริด ก็คือ การประหยัด ความมีเสถียรภาพ และประสิทธิภาพ หลอมรวมพลังงานยุคใหม่เข้าด้วยกัน ทั้งพลังงานหมุนเวียน Prosumer การตอบสนองต่อการใช้ไฟฟ้าที่ตรงความต้องการมากขึ้น รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า”