Economics

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค. สูงสุดในรอบ 9 เดือน จี้รัฐเร่งเดินหน้า ‘คนละครึ่ง’ ด่วน!

“ม.หอการค้าไทย” เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคมอยู่ที่ 46.2 สูงสุดในรอบ 9 เดือน พร้อมคงเป้าจีดีพีปีนี้ขยายตัวที่ 4% แนะเดินหน้า “คนละครึ่ง” ด่วน!

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2564 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 46.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 44.9 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นมา

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อสถานการณ์โควิดในประเทศไทย แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนช่วงหลังวันหยุดยาวปีใหม่ 2565 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันในประเทศเริ่มมีแนวโน้มลดลง

ประกอบกับการฉีดวัคซีนในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการยกเลิกมาตรการเปิดประเทศภายใต้ระบบ Test&Go อาจส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นลดน้อยถอยลง และระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ยังคงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2565 ไว้ที่ 4% ภายใต้สถานการณ์ที่คาดว่าการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจะคลี่คลายลงได้ในเดือนมกราคมนี้ และที่สำคัญต้องไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ ซึ่งแม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจจะปรับตัวลดลงบ้าง แต่ก็ไม่ทรุดตัวลงแรง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์โอไมครอนได้ดี โดยเชื่อว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาส 2 และจะเติบโตอย่างเข้มแข็งได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 เป็นต้นไป

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค

“เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับโอไมครอนได้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2 เรามองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้ 4% ตามที่คาดไว้เดิม ภายใต้การคาดว่าสถานการณ์โอมิครอนจะคลี่คลายได้ภายในเดือนมกราคม เรายังไม่ปรับ GDP” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่ง” อย่างต่อเนื่อง เพราะจะมีส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบได้เป็นอย่างดี และเมื่อการระบาดในประเทศคลี่คลายลงแล้ว รัฐบาลอาจจะต้องปรับโหมดจากการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยไปเป็นการกระตุ้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้มากขึ้น

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค

นายธนวรรธน์ ยังกล่าวด้วยว่า การระงับการเดินทางเข้าประเทศในระบบ Test&Go หากมีผลบังคับใช้เฉพาะช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาได้ในไตรมาส 2 ก็อาจจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะไม่กระทบภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มากนัก แต่หากระงับการเดินทางแบบ Test&Go ไปตลอดทั้งปี ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ต่ำกว่า 3%

“ถ้าเปิดให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาได้ในไตรมาส 2 ก็จะสูญเสียเพียง 5 หมื่นล้านบาท ไม่กระทบเศรษฐกิจไทยในกรอบ 3-4% มากนัก แต่ถ้าปิด Test&Go ทั้งปี ก็มีโอกาสที่จีดีพีจะโตได้น้อยกว่า 3% ถ้าเปิดตั้งแต่ไตรมาส 2 ก็มีโอกาสจะโตได้มากกว่า 3.5% ทั้งนี้ไม่ควรจะมีการล็อกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด เพราะถ้าล็อกดาวน์บางส่วน จะเสียหายอีก 3-5 แสนล้านบาท แต่ถ้าล็อกดาวน์ทั้งหมด จะเสียหายสูงถึง 8 แสนล้าน – 1 ล้านล้านบาท และส่งผลให้เกิดการว่างงาน ปัญหา NPL และปัญหาสภาพคล่องตามมา” นายธนวรรธน์ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4% โดยในช่วงครึ่งปีแรก โต 2.5-3% ส่วนครึ่งปีหลัง โต 5-5.5% อัตราเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ระดับ 1.5% โดยในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 2-2.5% และครึ่งปีหลัง อยู่ที่ 1-1.5%

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo