“สภาผู้ส่งออก” คาดส่งออกเดือนมกราคมโต 6-7% สั่งจับตาโอไมครอน-การขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต วอน “แบงก์ชาติ” คุมเงินบาท ดูแลต้นทุนพลังงาน
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก คาดว่า การส่งออกในเดือนมกราคม 2565 น่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 21,000 ล้านดอลลาร์ หรือเติบโตอยู่ที่ 6-7% ซึ่งมากกว่าเดือนมกราคม 2564 ที่อยู่ที่ 19,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนไตรมาส 1/2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 5% จากการวิเคราะห์ว่าถ้าเราผ่านเดลตาที่หนักมาก ๆ มาได้ เชื่อว่าจะผ่านโอไมครอนไปได้ ประกอบกับผู้ส่งออกได้เร่งส่งออก เนื่องจากปีนี้วันตรุษจีนมาไวกว่าปีก่อน ๆ ส่วนทั้งปี 2565 ยังคงคาดการณ์เดิมเติบโตอยู่ที่ 5-8%
ทั้งนี้ สรท. ยังคงคาดการณ์เดิมว่า ส่งออกในปี 2564 ของไทยอยู่ที่ 15% โดยคาดว่าในเดือนธันวาคม 2564 จะอยู่ที่ 15-16% มูลค่าอยู่ที่ 21,000-22,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่เชื่อมั่นว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะสามารถช่วยลดความรุนแรงได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 23,647.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 24.7% ซึ่งไทยสามารถส่งออกได้ดี และคาดว่าจะมีแรงส่งต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่
- เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ฟื้นตัวต่อเนื่อง และอุปสงค์ยังคงทรงตัวในระดับสูง รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (World PMI Index) ของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ยังคงทรงตัวอยู่ ณ ระดับ 50 ถึง 60 สะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกิจกรรมการผลิตและเศรษฐกิจโลก
- ค่าเงินยังคงมีทิศทางอ่อนค่า จากปัจจัยความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน รวมถึงการลด ปริมาณเงินในมาตรการ QE Tapering และแผนปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 3 ครั้งในปี 2565 ของธนาคารกลางสหรัฐ
สำหรับปัจจัยลบและความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่
- สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โอไมครอนทั่วโลกรวมถึงไทย จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการพบจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย แม้รายงานผลกระทบจากการติดเชื้อยังคงไม่รุนแรงนัก แต่รัฐบาลหลายประเทศต้องพิจารณาทบทวนเรื่องการกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ว่าจำเป็นมากน้อยเพียงใด และหากนำกลับมาใช้อีกจะต้องเข้มงวดในระดับไหน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
- แรงงานในภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุน การจ้างงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบการผลิตเพื่อการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว โดยมองว่า ปีนี้ไทยน่าจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในทุกภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาคการส่งออกที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในภาพรวมไทยจึงต้องการแรงงานอยู่ที่ 200,000-400,000 คน จึงจะเพียงพอ
- ปัญหาความหนาแน่นภายในท่าเรือประเทศปลายทาง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงปัญหา Space allocation ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถจองระวาง ตลอดจนค่าระวางเรือยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุโรป และสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะทรงตัวสูงยาวจนถึงปลายปี 65
- ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก และน้ำมัน ส่งผลให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออกยังคง ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย จึงมีข้อเสนอแนะ คือ
- ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับเหมาะสม
- ขอให้กระทรวงพลังงาน ควบคุมต้นทุนพลังงานให้อยู่ในระดับเหมาะสม ไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงการฟื้นฟูหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19
- ขอให้กระทรวงแรงงาน เร่งช่วยเหลือเรื่องปัญหาการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในภาคการผลิต
- เร่งเจรจากรอบความตกลงการค้าเสรี ระหว่างประเทศไทยและยุโรป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สภาผู้ส่งออกฯ’ คาดส่งออกปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 12% ส่วนปีหน้าคาดโต 5%
- ส่งออกไทยขยายตัว 9 เดือนติด พ.ย. โตพุ่ง 24.7% คาดทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า 15-16%
- ยอดส่งออกรถยนต์เดือน พ.ย. โตพุ่ง 32.60% ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 3.2%