Economics

ผู้ว่าธปท.เผยวิกฤติโควิดกระทบหนัก คาดเศรษฐกิจไทยใช้เวลานานฟื้นตัว

ผู้ว่าธปท.มองเศรษฐกิจฟื้นตัวใช้เวลา และไม่เท่ากัน ภาคท่องเที่ยวและบริการยังหนัก ขณะที่ส่งออกฟื้นตัว มองโลกหลังโควิด-19 เน้นที่สิ่งแวดล้อมและดิจิทัลมากขึ้น

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)   กล่าวสุนทรพจน์การสัมมนาออนไลน์ Thailand Focus 2021 หัวข้อ “From Resiliency to Recovery and Beyond: Central Bank Policies for an Uncertain World” ว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะใช้เวลานาน (slow) และไม่เท่ากัน (uneven)

เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า เพราะพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าที่สุด และคาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าการ กระจายวัคซีนของไทยจะทำได้ครอบคลุมประชากรส่วนมาก

ส่วนการฟื้นตัวที่จะไม่เท่ากัน เห็นได้จากกิจกรรมในภาคการส่งออกสินค้าที่ฟื้นกลับมาเหนือระดับก่อนการระบาดของ Covid-19 แล้ว ขณะที่ภาคบริการยังถูกกระทบรุนแรงต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบหนัก แต่เสถียรภาพโดยรวมของเศรษฐกิจมีความมั่นคงมา ตลอดทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมีจำกัด (limited downside risks) โดยความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย สะท้อนใน 3 ด้าน

  • เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากไทยมีหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ ประกอบกับระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังสูงต่อเนื่อง
  • เสถียรภาพด้านสถาบันการเงิน โดยธนาคารพาณิชย์ยังมีงบการเงินที่เข็มแข็ง ช่วยให้ภาคธนาคารยังสามารถรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ (shock absorber)
  • เสถียรภาพด้านการคลังของประเทศ ไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดีโดยรัฐบาลไทยยังสามารถกู้เงินมาดูแลเศรษฐกิจได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมั่นคง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้

บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในวิกฤติครั้งนี้ ธปท. พร้อมที่จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ โดยตั้งแต่การ ระบาดของ Covid-19 เริ่มต้นขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อเอื้อให้ภาวะการเงินช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีสภาพคล่องที่เพียงพอ

ที่ผ่านมา แม้สินเชื่อยังขยายตัวได้ในเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ แต่สภาพคล่องในระบบที่สูงยังกระจายตัวได้ไม่ดีพอ ทำให้มีมาตรการด้านสินเชื่อที่ผูกโยงกับการค้าประกันสินเชื่อเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อให้ธุรกิจและรายย่อย

นอกจากนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีสภาพคล่องที่เพียงพอ และสอดคล้องกับวิกฤติที่ยังมีความ ไม่แน่นอนสูง ธปท. ได้ดำเนินมาตรการที่ตรงเป้าหมาย (targeted) และยืดหยุ่น (flexible) มากขึ้นเช่น การออกพ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจฯ ที่ปรับปรุงจาก พ.ร.ก. ฉบับก่อนโดยมีความ ยืดหยุ่นมากขึ้น และโครงการ “พักทรัพย์ พักหนี้” สำหรับภาคธุรกิจที่ใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน

เศรษฐกิจในโลกหลังวิกฤติ นอกจากมาตรการเพื่อตอบสนองวิกฤติเฉพาะหน้าแล้ว ธปท. ยังมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนมาตรการให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้ยั่งยืนขึ้น เช่น การพักหนี้อาจเหมาะสมในระยะสั้น แต่เป็นภาระลูกหนี้ในระยะยาว ธปท. จึงสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถผ่านพื้นวิกฤติไปได้ด้วยกัน

ในระยะถัดไป ธปท. ยังคำนึงถึงโลกหลัง Covid-19 ซึ่งบริบทของเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีลักษณะ 1) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Greener) และ 2) มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น (more Digital)

ในด้านสิ่งแวดล้อม (green) ธปท. อยู่ระหว่างการผลักดันภาคธนาคารพาณิชย์ให้มีการให้เงินกู้อย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกำลังพัฒนาในเรื่องของมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล (disclosure standards) และการพัฒนาในด้านค่านิยามด้านสิ่งแวดล้อม (green taxonomy) เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติได้โดยเร็ว

ในขณะที่ด้านดิจิทัล (Digital) ธปท. ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับระบบช าระเงิน เช่น การท า QR-Code มาตรฐานใน การชำระเงิน และระบบพร้อมเพย์ นอกจากนี้ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยีทาง การเงินด้วย เช่น การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ระบบการเงินของไทยมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง และเข้าถึงง่ายขึ้น สามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

อ่านข่าวเพิ่มเติม:

Avatar photo