ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่มีการระบาดในเดือนเม.ย.จนต่ำกว่าปีก่อนในช่วงเดือนเม.ย. 2563 ที่มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
ในเดือนก.ค. 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเผชิญความน่ากังวลโดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในระดับสูงและยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องขณะที่อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับสูงเช่นกันล่าสุดการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่มีการแพร่ระบาดได้ง่ายได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศส่งผลให้ความรุนแรงของการระบาดเพิ่มมากขึ้นทำให้เริ่มมีการยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ค. 2564
เริ่มจากการปิดแคมป์คนงานการล็อกดาวน์ (ปิดธุรกิจเสี่ยงจำกัดการเดินทางใน 10 จังหวัดเป็นระยะเวลา 14 วัน) จนในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการขยายมาตรการออกไปครอบคลุมถึง 13 จังหวัดปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงความไม่แน่นอนของสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูงกดดันให้ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน (KR-ECI) ปรับลงต่อเนื่องจนอยู่ที่ 34.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศที่ 35.1
ขณะที่ดัชนีฯใน 3 เดือน ข้างหน้าปรับตัวลดลงเช่นกันอยู่ที่ 36.6 จาก 38.9 ในเดือน มิถุนายนสะท้อนว่าครัวเรือนยังมีความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีพบว่าครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับระดับราคาสินค้า
โดยในเดือนกรกฎาคม ดัชนีปรับลดลงอยู่ที่ 31.5 จาก 37.0 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับระดับอัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 0.45% ซึ่งหากไม่รวมผลจากมาตรการภาครัฐในเรื่องของการบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านค่าน้ำค่าไฟระดับอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.8%
ปัจจัยหนุนเงินเฟ้อนอกจากราคาน้ำมันแล้วส่วนหนึ่งมาจากราคาอาหารสดที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ขณะที่กำลังซื้อของภาคครัวเรือนยังคงถูกกดดันจากความเปราะบางของฐานะการเงินที่สะสมมาจากการแพร่ระบาดในปีก่อนและปัจจุบันยังไม่สามารถฟื้นตัวได้สะท้อนผ่านหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่ 90.5% ของจีดีพีในไตรมาสแรกของปี 2564 นอกจากนี้ ครัวเรือนยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้และจ้างงานเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการล็อกดาวน์ใน 10 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงพบว่า 64.2 % ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ (64.2%) มีรายได้จากการจ้างงานลดลงขณะที่บางส่วน (14.3%) ธุรกิจปิดกิจการและถูกเลิกจ้างซึ่งตรงนี้จะเป็นปัจจัยที่เข้ามาซ้ำเติมตลาดแรงงานที่มีภาวะเปราะบางล่าสุดในไตรมาส 2/2564 จำนวนผู้ว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 7.3 แสนคนโดยทิศทางการฟื้นตัวของตลาดแรงงานยังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกันโดยเฉพาะแรงงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในภาคท่องเที่ยวที่แม้ในเดือนกรกฎาคม 2564 จะมีการนำร่องเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์รับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ได้ต้องกักตัวตามเงื่อนไข
แต่สถานการณ์การระบาดทั้งในและนอกประเทศที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาภูเก็ต 14,055 คน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันอยู่ที่ 5,400 บาท (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน) ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าวยังมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ภาครัฐเคยประเมินไว้ (ไตรมาส 3 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 1 แสนคน) ซึ่งขณะนี้ในภูเก็ตได้มีมาตรการคุมเข้มการระบาดเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรม รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ไม่สามารถเปิดได้เต็มที่
มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาช่วยประคับประคองการดำรงชีพของครัวเรือน ซึ่งช่วงที่สำรวจภาครัฐได้มี 2 โครงการคือ โครงการคนละครึ่งระยะที่สาม และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าร่วมมาตรการพบว่ามีครัวเรือนถึง 30.6% ที่ไม่ได้เข้าร่วมทั้งสองโครงการ เนื่องจากมองว่าขั้นตอนการสมัครมีความยุ่งยาก อีกทั้งโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีเงินออมมีผู้เข้าร่วมเพียง 2.9%
ทั้งนี้ โครงการทั้งสองโครงการได้ออกมาในช่วงก่อนที่สถานการณ์การระบาดจะเผชิญความรุนแรงและมีมาตรการคุมเข้มการระบาดอย่างในปัจจุบัน ซึ่งหากสถานการณ์การระบาดไม่ได้รุนแรงมากอาจทำให้โครงการต่าง ๆ จูงใจประชาชนให้เข้าร่วมได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ล่าสุดภาครัฐได้มีมาตรการเยียวยา 9 กลุ่มอาชีพใน 13 พื้นที่เสี่ยงที่ถูกล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะเข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้บางส่วน
ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนยังเผชิญความไม่แน่นอนสูงสถานการณ์การระบาดที่ยืดเยื้อและมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้นจะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดแรงงานต่อเนื่องไปจนถึงกำลังซื้อของภาคครัวเรือนดังนั้นภาครัฐควรออกมาตรการเยียวยาที่ตรงจุดและเข้าถึงง่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการจัดหาจัดสรรและแจกจ่ายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงเร่งควบคุมสถานการณ์เช่นการตรวจเชิงรุกเพราะทุกเวลาที่ผ่านไปคือความสูญเสียที่เกิดขึ้นแก่ภาคประชาชนและประเทศ
โดยสรุปแล้ว ดัชนีฯ KR-ECI ในระดับปัจจุบัน (ก.ค. 64) และ 3 เดือนข้างหน้ายังบ่งชี้ถึงความกังวลของครัวเรือนต่อรายได้และการจ้างงาน ขณะที่ในเดือนส.ค.มีมาตรการล็อกดาวน์ใน 13 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจะยิ่งเพิ่มขึ้น ภาครัฐควรมีมาตรการเยียวยาที่ตรงจุดและเข้าถึงง่ายพร้อมกับเร่งเข้าควบคุมสถานการณ์รวมถึงในเรื่องของวัคซีนเพื่อให้สถานการณ์การระบาดบรรเทาลง
อ่านข่าวเพิ่มเติม:
- โควิดวันนี้ 10 ส.ค. ทั่วโลกติดเชื้อ 204.12 ล้าน ‘อินโดฯ’ ชี้ ‘ซิโนแวค’ ประสิทธิภาพ 95% ป้องกันสูงวัยดับ
- ธปท.เผยบริโภคภาคเอกชนกระทบหนัก จากโควิดระลอก 3
- ไม่จำเป็นอย่าไป! ‘สหรัฐ’ ยกระดับคำเตือนเดินทาง เพิ่ม ‘ไทย’ เข้ากลุ่ม ‘เสี่ยงโควิดสูงสุด’