หนึ่งในแนวทางสร้างธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานเวลานี้ คงต้องโฟกัสไปที่การเคลียร์ข้าราชการที่นั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ และบริษัทลูกในกิจการพลังงานใหม่ โดยอยู่ระหว่างการจัดทำหลักจริยธรรม ( Code of Conduct ) เพื่อเป็นคู่มือในการพิจารณาของผู้บริหารกระทรวงพลังงานในการนั่งเป็นคณะกรรมการบริหารของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทลูก ทั้งของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์
เนื่องจากพบว่า มีผู้บริหารของกระทรวงพลังงานหลายคน นั่งหลายบริษัท และแม้จะเกษียณอายุราชการไประยะหนึ่งแล้ว ยังคงนั่งเป็นกรรมการ แตกต่างจากกระทรวงการคลังที่มีธรรมเนียมปฏิบัติ หลังจากเกษียณจะลาออกจากกรรมการ แม้ระเบียบปัจจุบันจะมีข้อยกเว้นให้เป็นกรรมการหลังเกษียณได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามแว่วมาว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการร่างและเวียนระเบียบใหม่ไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อสร้างธรรมาภิบาล เบื้องต้นจะกำหนดให้ข้าราชการที่เกษียณอายุราชการต้องลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท
สำหรับแนวทางที่นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างการวางปฏิบัติให้ชัดเจน เช่น หน่วยงานที่กำกับดูแลกิจการน้ำมัน จะต้องไม่นั่งเป็นคณะกรรมการในรัฐวิสหกิจ และบริษัทลูกที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับน้ำมันไม่ว่ากรณีใดๆ เช่น กรมธุรกิจพลังงานจะต้องไม่เข้าไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทบางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น แต่สามารถนั่งเป็นกรรมการในกิจการไฟฟ้าได้
อย่างไรก็ตามมีอีกตำแหน่งที่ทั้งคนในและคนนอกฝากไว้ให้ช่วยพิจารณาอย่างรอบคอบ นัั้นก็คือ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)
แม้แนวทางของปลัดกระทรวงพลังงาน จะเห็นว่าสามารถนั่งเป็นกรรมการในบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ.ได้ก็ตาม แต่ก็มีเสียงติติงว่า แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีหลายกรณีที่ผู้อำนวยการสนพ.ซึ่งนั่งเป็นกรรมการ ต้องเดินออกจากห้องประชุม เพราะมีการพิจารณาบางประเด็นที่เกี่ยวข้องหลายครั้งหลายหน ตำแหน่งนี้ก็ควรต้องศึกษาในรายละเอียด เพื่อสร้างธรรมภิบาลให้ปรากฏ
ขณะที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงานแม้จะนั่งได้ทุกกิจการ ทั้งน้ำมัน และไฟฟ้า แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าผู้ตรวจราชการท่านนั้นกำกับดูแลหน่วยงานใด ก็ต้องไม่นั่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทลูกที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
จากการค้นหาในเว็บไซต์ของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทลูกหลักๆ ในสังกัดกระทรวงพลังงาน พบว่าจนถึงปัจจุบันมีผู้บริหารกระทรวงพลังงานทั้งที่ยังอยู่ในราชการ และที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว นั่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและบริษัทลูก ดังนี้
- นายธรรมยศ ศรีช่วย อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เป็น กรรมการ บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)
- นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
- นายยงยุทธ์ จันทรโรทัย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นกรรมการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
- นายสมนึก บำรุงสาลี อดีตรองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการ บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
- นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้ตรวจราชการ เป็นกรรมการ บริษัท ปตท .สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
- นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) หรือ จีพีเอสซี
- นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
- นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อดีตอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เป็นประธานกรรมการ กฟผ.
- นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ เป็นประธานกรรมการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป
- นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการ เอ็กโก กรุ๊ป
- นายสุชาลี สุมามาล์ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
- นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อดีตอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นกรรมการ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
- นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นกรรมการ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
- นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เป็นกรรมการ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)
โดยจะพบว่ามีข้าราชการเกษียณอายุนั่งเป็นกรรมการบริษัท 5 คน และ มีบางท่านเป็นกรรมการหลายบริษัท นอกจากนี้ในหนึ่งบริษัทยังมีคนจากกระทรวงพลังงานนั่งเป็นกรรมการกันหลายคน เช่น บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งที่มีถึง 4 คน
นายกุลิศ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวในเรื่องนี้ไว้ว่า สำหรับ Code of Conduct หรือ หลักธรรม ก็เพื่อรองรับการทำงานที่โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โดยหลักจะต้องแยกการทำหน้าที่กำหนดนโยบาย การบริหาร และการปฏิบัติออกจากกัน เพื่อให้ทับซ้อนให้น้อยที่สุด และทำเป็นคู่มือให้ผู้บริหารระดับสูงใช้ในการพิจารณาการเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือ ทั้ง บริษัทปตท. บริษัทลูกทั้งหมด และกฟผ. และบริษัทที่กฟผ.ถือหุ้น โดยหลักจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ (Skill Matrix)และ 1 ท่านไม่ควรเป็นเกิน 1 บริษัท
นอกจากนายกุลิศ จะต้องการสร้างความโปร่งใสในการนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจของข้าราชการกระทรวงพลังงานแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขา คงต้องทำควบคู่กันไป นั่นก็คือ การเกลี่ยภารกิจหน้าที่ในกระทรวงพลังงานให้ทุกคนมีงานในมือตามความรู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ เพราะงานกระจุกตัว หลังจากมีตำแหน่งว่างหลายตำแหน่งที่ยังไม่มีทีท่าจะมีการแต่งตั้งจนถึงปัจจุบัน แม้จะผ่านมาหลายเดือน ประกอบด้วย ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง 2 ตำแหน่ง และผู้อำนวยการสนพ. 1 ตำแหน่ง
ขณะที่ผู้ตรวจราชการที่มีถึง 6 คน ไม่ได้ถูกมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมกับที่เป็นตำแหน่ง “แขวน” ทำให้หลายคนแทบไม่มีภารกิจในมือตามความรู้ความชำนาญ งานหลายอย่างของกระทรวงพลังงาน จึงไม่ก้าวหน้า แต่ “แขวน” เพราะเหตุใดก็ตาม หากทำผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการอย่างชัดเจน แต่หากไม่ไม่ถูกชะตา ต้องคำนึงด้วยว่า ชาวประชาคนนอกไม่ได้รู้ด้วย คาดหวังแต่ว่า “อยากเห็นข้าราชการทำงานเต็มความรู้ความสามารถ” สมกับประสบการณ์ และสมกับที่กินเงินภาษีประชาชน และนี่ก็คือหนึ่งในความโปร่งใสอย่างหนึ่งที่ ประชาชนอยากจะได้เห็น