ในงานสัมมนา 2018 The Annual Petroleum Outlook Forum ภายใต้หัวข้อ “Future Energy Moving Together ก้าวไปกับอนาคตพลังงาน” ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของ กลุ่ม ปตท. (PRISM Expert) ร่วมกับ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2562 อยู่ที่ 70 – 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
พร้อมกันนี้ยังระบุ 4 ปัจจัยที่ต้องจับตามอง คือสงครามการค้าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก นโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก นโยบายพลังงานสีเขียว และการเติบโตของนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์ฯ ประเมินว่าปี 2562 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น 1.1-1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันจากความต้องการใช้ประมาณ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัจจัยที่มีผล คือ ภูมิรัฐศาสตร์ หรือ การเมืองระหว่างประเทศ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน โดยในปีหน้าซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และสหรัฐจะมีบทบาทต่อราคาน้ำมันในระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีมาตรการขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ( International Maritime Organization : IMO ) มากระทบ ซึ่งให้ประเทศสมาชิกกำหนดเรือขนส่งสินค้าต้องใช้น้ำมันซัลเฟอร์ไดออกไซด์ต่ำลงเหลือ 0.5 % ในอีก 2 ปี หรือภายในปี 2563 ทำให้มีการใช้น้ำมันดีเซลซัลเฟอร์ต่ำเพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจัยอื่นที่คาดว่าจะมากระทบ ประกอบด้วยภาวะโลกร้อน การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยประเมินว่า การใช้น้ำมันจะเติบโตสูงสุดในปี 2578 แต่อย่างไรก็ตามความต้องการใช้น้ำมันเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาผลิตพลาสติก
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแกว่งตัวสูง และเร็ว มาจากการเข้ามาเก็งกำไรราคาน้ำมันของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ด้วย เห็นได้จากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันขึ้นและลงถึง 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มมาอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ และลดลงเหลือ 60 ดอลลาร์
เหมือนกับปี 2557 ที่ราคาน้ำมันขึ้นไปถึง 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะมีการซื้อสัญญาซื้อขายน้ำมันของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์กว่า 1 ล้านสัญญา ซึ่งแต่ละสัญญามีปริมาณน้ำมันซื้อขายถึง 1,000 บาร์เรล
ส่วนในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีการซื้อขายถึง 8 แสนสัญญา และมีการเทขายออกมาราว 3-4 แสนสัญญา ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างรวดเร็วเหลือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัจจัยต่างๆ ที่จะมากระทบทั้งหมดนั้น จะนำไปวิเคราะห์ และปรับแผนการลงทุนของปตท.ระยะ 5 ปี (2562-2566) ซึ่งจะขออนุมัติต่อคณะกรรมการบริษัทปตท.เดือนธันวาคมนี้ ซึ่งปตท.จะต้องปรับตัวในหลายๆเรื่อง อาทิ แนวทางรองรับการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า การนำดิจิทัลเข้าไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด
ทางด้านนายอธิคม เติบศิริ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเติบโตอยู่ที่ 3.7 % ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 1.1 – 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกอาจส่งผลกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มตึงตัวจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศผู้ผลิต
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทีม PRISM Expert คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2562 จะอยู่ในช่วง 70 – 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยระยะยาวที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์น้ำมันที่ต้องติดตาม อาทิ นโยบายพลังงานสีเขียว และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงาน ตลอดห่วงโซ่อุปทานซึ่งอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเปลี่ยนรูปแบบไป