พรรคประชาธิปัตย์ออกแถลงการณ์ เสนอแนวทางรัฐแก้ปัญหาปาล์ม เตือนไม่เร่งแก้ไขอาจเจอม็อบ ซ้ำเติมสถานการณ์ท่องเที่ยวที่กำลังซบเซา
แถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ตามที่รัฐบาลโดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวทางในการแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำด้วยการนำน้ำมันปาล์มดิบ ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าบางปะก งและโรงไฟฟ้าราชบุรี จำนวน 1.6 แสนตัน เป็นเวลา 3 เดือน โดยจะสามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้ประมาณกลางเดือนมกราคมนั้น พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
1.ขอให้รัฐบาลดูดซับปาล์มน้ำมันส่วนเกินที่ล้นสต็อกอยู่ในเวลานี้ ด้วยการนำไปผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่โดยใช้น้ำมันปาล์ม เป็นเชื้อเพลิง 100% ต่อเนื่อง 6 เดือน แทนที่จะไปผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกงกับราชบุรี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นจากค่าขนส่งปาล์มจากภาคใต้ไปยังพื้นที่ผลิตไฟฟ้าประมาณ 1 บาทต่อลิตร
นอกจากนี้การนำน้ำมันปาล์มไปผลิตไฟฟ้าจะส่งผลดีต่อชุมชนรอบโรงไฟฟ้ากระบี่ที่จะได้ค่าชดเชยจากกองทุนรอบโรงไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านแล้ว ยังสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่าง กฟผ.กับประชาชนด้วย
2. ขอให้รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันปาล์มขวด ซึ่งไม่ได้ลดลงตามต้นทุนที่ต่ำลง เปรียบเทียบได้จากสมัยนายกอภิสิทธิ์ น้ำมันปาล์มหน้าโรงงานอยู่ที่ลิตรละเกือบ 30 บาท แต่ดูแลให้น้ำมันปาล์มขายขวดละ 42 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มส่งหน้าโรงงานลิตรละ 17- 18 บาท แต่ราคาน้ำมันปาล์มขวดที่ขายกับผู้บริโภคยังคงอยู่ที่ 42 บาท เหมือนตอนที่ปาล์มราคาแพง เท่ากับมีส่วนต่างจากราคาต้นทุนสูงถึง 24-25 บาท
รัฐบาลจึงควรเข้าไปดูแลให้เป็นไปตามราคาต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนที่เป็นผู้บริโภคด้วย
หากรัฐบาลดำเนินการตามข้อเสนอทั้ง 2 ข้อของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นอกจากจะช่วยพยุงราคาปาล์มน้ำมันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มแล้ว ยังช่วยดูแลค่าครองชีพให้ประชาชนบริโภคน้ำมันปาล์มขวดในราคาที่เป็นธรรมด้วย และเป็นมาตรการที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที
เรื่องปาล์มในวันนี้ถือว่าเป็นวิกฤติหนัก รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาในทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ถือเป็นจังหวัดหลักที่ทำการท่องเที่ยวควบคู่กับการทำเกษตรกรรมปาล์มน้ำมัน
หากประชาชนทนไม่ไหว แสดงการเคลื่อนไหวโดยจัดม็อบที่อาจมีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งกำลังซบเซาอยู่อย่างหนักเช่นกัน จึงถือว่าเป็นการสร้างความทุกข์ให้กับชาวใต้
