“กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน” แจงข้อสงสัย กรณีนายจ้างเลิกจ้าง เพราะลูกจ้างติดเชื้อ “โควิด-19” มิได้ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่เกิดจากการกระทำของ ลูกจ้าง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ขยายวงกว้างเข้าสู่สถานประกอบกิจการ เป็นความห่วงใยที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน กำชับให้ความคุ้มครองดูแลให้ความเป็นธรรมแก่ลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากติดเชื้อไวรัสดังกล่าว หรือมีความเสี่ยงที่ต้องกักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้รับความช่วยเหลือ รักษา เยียวยา
โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ทำความเข้าใจกับนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการให้ทราบว่า กรณีที่สถานประกอบกิจการ ออกประกาศห้ามลูกจ้างเดินทางข้ามจังหวัด หรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ที่อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสโควิด แต่ภายหลังทราบว่า ลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว จนเป็นเหตุให้นายจ้างสงสัยได้ว่า ลูกจ้างเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงมีคำสั่งไม่ให้ลูกจ้างมาทำงานและให้กักตัว ณ ที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการ
ทั้งนี้ นายจ้างก็ต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง เพราะคำสั่งให้ลูกจ้างกักตัว เป็นคำสั่งให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง จะถือว่าการปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง จะถือเป็นการขาดงาน หรือละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างให้ใช้สิทธิการลาป่วย หรือการหยุดพักผ่อนประจำปี และหากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง เพราะเหตุลูกจ้างติดเชื้อโรคดังกล่าว หรือสงสัยว่าลูกจ้างติดเชื้อ มิได้ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้าง เพราะการเจ็บป่วยเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายโดยธรรมชาติ มิใช่การกระทำผิดวินัยของลูกจ้าง และเป็นการติดเชื้อจากโรคระบาดที่แพร่กระจายในวงกว้าง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงที่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ในวงกว้าง นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องให้ความร่วมมือกัน ในการป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าวให้ยุติโดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม
ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ออกประกาศ เรื่องแนวทางในการเฝ้าระวังการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในสถานประกอบกิจการ ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด นายจ้างและลูกจ้างควรร่วมมือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมมิให้มีการแพร่ระบาดต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการที่สถานบันเทิงถูกสั่งปิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนั้น รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลได้กำชับให้กระทรวงแรงงานดูแลประชาชนที่ทำงานกลางคืนภายใต้กรอบของกฎหมาย เนื่องจากคนทำงานภาคกลางคืน เช่น ผับ บาร์ สถานบันเทิง ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานบริการ เป็นต้น ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 เนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ ในกรณีเหตุสุดวิสัยโควิด -19 นี้ กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
กฎกระทรวงดังกล่าวให้ความคุ้มครองกรณีผู้ประกันตนที่ไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากต้องกักตัวเฝ้าระวังการระบาดของโรค หรือนายจ้างต้องหยุดประกอบกิจกรรมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ และลูกจ้างไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น
ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตรา 50% ของค่าจ้างรายวัน รวมกันไม่เกิน 90 วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป และสำนักงาน ประกันสังคม ได้เปิดให้นายจ้างและผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนโดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ www.sso.go.th
ขั้นตอนยื่น ขอรับเงินทดแทน “ประกันสังคม”
ลูกจ้างในสถานประกอบการที่ต้องการขอรับเงิน ฃเยียวยาโควิด – 19 จาก ประกันสังคม สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ลูกจ้างผู้ประกันตนมีหน้าที่ กรอกแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส.2-01/7 ดาวน์โหลดที่นี่ แล้วนำส่งให้นายจ้าง พร้อมแนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝาก **โดยขอเน้นย้ำเรื่องเบอร์โทรศัพท์ติดต่อและเลขบัญชีธนาคารที่ถูกต้อง
2. นายจ้างรวบรวมแบบคำขอรับประโยชย์ทดแทน สปส.2-01/7 และจดบันทึกแจ้งข้อมูลการหยุดงานของลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน
3. นายจ้างบันทึกข้อมูลดังต่อไปนี้ในระบบ e-Service คลิกที่นี่ บนเว็บไซต์สำนักงาน ประกันสังคม ได้แก่
- หนังสือรับรองการหยุดงาน กรณีกักตัวหรือกรณีปิดตามคำสั่งทางราชการ
- ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ประกันตนในแบบ สปส. 2-01/7 ได้แก่ เลขที่บัญชีธนาคารของผู้ประกันตน หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งได้ยื่นไว้กับนายจ้างในแบบคำขอ
**ทั้งนี้ กรณีนายจ้างเข้าใช้งานระบบ e-Service เป็นครั้งแรก จะต้องลงทะเบียนก่อน
4. นายจ้างส่งแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส.2-01/7 ที่ได้บันทึกไว้บนระบบ e – Service ไปยังสำนักงาน ประกันสังคม ในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ ภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่บันทึกข้อมูลบน e – Service เสร็จสิ้น
5. ระบบทำการประมวลผลในแต่ละวัน โดยรวบรวมทุกรายการที่นายจ้างได้บันทึกข้อมูลแล้วส่งเข้าสู่ระบบ Sapiens ต่อไป ถ้าข้อมูลครบถ้วนถูกต้อง
6. ระบบ Sapiens ประมวลผลในรูปแบบรายงานภายใต้สถานประกอบการรายบุคคล
7. เจ้าหน้าที่วินิจฉัย บันทึกวินิจฉัยสั่งจ่ายบนระบบ Sapiens รายคน
8. ระบบประมวลผลสั่งจ่ายข้อมูลเข้าบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้
9. กรณีบัญชีถูกต้อง เงินจะโอนเข้าบัญชีลูกจ้างผู้ประกันตนภายใน 5 วันทำการ แต่กรณีที่เลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง นายจ้าง/ผู้ประกันตนต้องโทรหรือไลน์แจ้งบัญชี จากนั้นจะย้อนกลับไปขั้นตอนที่ 7 เจ้าหน้าที่วินิจฉัยสั่งจ่ายบน ระบบ Sapiens รายคน
ทั้งนี้ เมื่อนายจ้างบันทึกข้อมูลลูกจ้างเสร็จสิ้น ให้นำแบบฯ และหนังสือข้อมูลดังกล่าวข้างต้นในระบบ e-Service ส่งมายังสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือทางไปรษณีย์ (ลงทะเบียน) ภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่บันทึกข้อมูลในระบบ e-Service บน www.sso.go.th หากข้อมูลถูกต้องครบถ้วน สำนักงาน ประกันสังคม จะโอนเงินเข้าบัญชี ภายใน 5 วันทำการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนายจ้าง ผู้ประกันตน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อ ที่สำนักงานประกันสังคม อีกทั้งลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 อีกด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘บิ๊กป้อม’ สั่ง ‘รมว.แรงงาน’ เร่งรับมือคลัสเตอร์ลูกจ้างบริษัทเหล็กติดโควิดด่วน!!
- ข่าวดีสุดๆ! ลูกจ้าง-นายจ้าง ประกันสังคมจ่ายเงินเยียวยา 50% กระทบโควิด
- ‘สถานบันเทิง’ ปิดเพราะโควิด ลูกจ้างอย่าลืม! ขอรับเงินทดแทน ‘ประกันสังคม’